ถึงแม้ว่าเยอรมนีจะเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหนักที่สำคัญในระดับต้นๆ ก็ตาม แต่การผลิตอาหารก็เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของเยอรมนีเช่นกัน คนงานที่เกี่ยวข้องในโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารมีจำนวนกว่า500,000 คน นอกจากนี้ยังมีเกษตรกรอีกประมาณ 1 ล้านคน ในแต่ละปีมีมูลค่าผลผลิตกว่า 130,000 ล้านยูโร สินค้าสำคัญๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำจากนม เนื้อสัตว์ ได้แก่ ไส้กรอกต่างๆ และผลิตภัณฑ์ทำด้วยแป้ง
ไทยส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรไปเยอรมนีเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ยปีละ 456 ล้านเหรียญสหรัฐ และในเดือนมกราคม 2553 มีการส่งออกมูลค่า 40.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.8
สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปเยอรมนี มีส่วนแบ่งตลาดและของประเทศคู่แข่งสำคัญๆ ดังนี้
- ไก่แปรรูป เบลเยี่ยม 20.0 % เนเธอร์แลนด์ 18.9 % ไทย 12.2 %
- กุ้งแช่แข็ง เวียดนาม 16.8 % บังคลาเทศ 14.4 % เนเธอร์แลนด์ 12.3 % ไทย 10.7
- ข้าว อิตาลี 30.5 % เนเธอร์แลนด์ 18.4 % เบลเยี่ยม 12.0 % ไทย 10.7 %
- กุ้งกระป๋อง ไทย 26.8 % เนเธอร์แลนด์ 20.5 % เดนมาร์ค 11.1
- สับปะรดกระป๋อง ไทย 40% เนเธอร์แลนด์ 22.0 % เคนยา 17 % อินโดนีเชีย 14.%
- ปลาทูน่ากระป๋อง ฟิลิปปินส์ 23.7 % เนเธอร์แลนด์ 18.7 % เอควาดอร์ 17.5 % ไทย 4.3 %
ในปี 2552 ที่ผ่านมา อัตราค่าครองชีพรวมในเยอรมนีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 0.4 โดยสินค้าประเภทเชื้อเพลิงมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นมาก ร้อยละ 5 — 25 แต่สำหรับสินค้าอาหารในภาพรวมมีอัตราลดลงระหว่างร้อยละ 1.5 — 4 สืบเนื่องจากตลาดค้าปลีกสินค้าอาหารในประเทศค่อนข้างอิ่มตัว การแข่งขันเพื่อยึดครองส่วนตลาดจะใช้วิธีการเสนอขายสินค้าในราคาต่ำลง ส่งผลให้มูลค่าตลาดอาหารโดยรวมมีแนวโน้มลดลง สำหรับเดือนมกราคมนี้ เป็นช่วงที่อากาศยังหนาวเย็น ผักผลไม้สดที่จำหน่ายในประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากการปลูกในเรือนกระจก และนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาแพงกว่าปกติบ้าง
ตั้งแต่มกราคม 2553 สหภาพยุโรป กำหนดให้สุ่มตรวจหาสารเคมีตกค้าง สารพิษอันตรายในผักสด 3 ชนิด (ถั่วฝักยาว มะเขือและกะหล่ำ) ที่นำเข้าจากไทยและประเทศอื่นๆ ที่ไม่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป โดยเพิ่มอัตราการตรวจจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 50 ของการนำเข้า แต่ที่ผ่านมา ในเยอรมนียังไม่พบ เกิดปัญหาใดๆ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามกฏหมายใหม่ นี้ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายกับผู้นำเข้าและทำให้การขนส่งนานเพิ่มขึ้นอีก 2 —3 วัน จนอาจทำให้ผู้นำเข้าสนใจสินค้าประเภทนี้จากไทยลดน้อยลงตามลำดับ หากตรวจพบ ถูกห้ามนำเข้า หรือต้องทำลายสินค้าจะส่งผลให้ไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าไปเยอรมนีได้ในที่สุด การควบคุมการผลิตให้ปลอดภัย ปราศจากสารพิษ สารต้องห้ามต่างๆ ตกค้าง และรักษาคุณภาพสินค้าให้คงที่ จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาถูกห้ามนำเข้าและจะช่วยให้สินค้าไทยยังคงเป็นที่นิยมสืบต่อไป
1. สินค้าส่งออกของไทยมีราคาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังคงมีคุณภาพดี ไว้วางใจได้ จึงยังเป้นที่สนใจของผู้นำเข้า
2. การใช้กฏหมายตรวจเข้มสินค้านำเข้า จะสร้างความไม่พอใจให้ผู้นำเข้า และในที่สุดอาจเลิกนำเข้าสินค้าจากไทยหากมีการตวจพบสารเคมี สารต้องห้ามตกค้างในสินค้าจากไทย
3. คู่แข่งสำคัญ โดยเฉพาะ จีนและเวียตนามมีความสามารถผลิตสินค้าได้มาตรฐานมากขึ้น และมีราคต่ำกว่าสินค้าประเภทเดียวกันจากไทย
4. โดยทั่วไปสินค้าไทยยังมีราคาค่อนข้างสูง นอกจากนี้จะมีรสชาดจัด มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงเป็นคนต่างชาติ คนเอเชียจำนวนประมาณ 1 ล้านคน หรือผู้ที่รู้จักประเทศไทย เท่านั้น
ปี 2551 ปี 2551 ปี 2552 เพิ่ม/ลด % จำนวนโรงงาน (ล้านยูโร) (ม.ค.-มิ.ย.) รวมทั้งสิ้น 132,055 64,082 61,189 -4.51 4,860 นมและผลิตภัณฑ์ 19,082 9,874 8,378 -15.15 160 ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ 14,491 6,926 6,927 -- 1,091 เนื้อสัตว์ 13,380 6,150 6,478 +5.33 663 ขนมปัง 12,117 5,914 5,987 +1.23 2,345
(ล้านยูโร) ปี 2550 ปี 2551 ปี 2552 เพิ่ม/ลด % รวมทั้งสิ้น 130,515 138,004 115,583 -16.25 ในประเทศ 107,784 112,919 93,254 -17.42 ต่างประเทศ 22,731 25,085 22,329 -10.99
จำนวนคนงาน : เกษตรกรประมาณ 1 ล้านคน
โรงงานแปรรูปอาหาร 500,000 คน
ที่มา สำนักงานสถิติแห่งชาติ เยอรมนี
ปี 2551 ปี 2552 ปี 2552 ปี 2553 เพิ่ม/ลด % (ม.ค.-ม.ค.) สินค้าเกษตร (ล้านเหรียญสหรัฐ) รวมทั้งสิ้น 287.7 191.4 15.3 20.3 +32.5 ไก่แปรรูป 63.2 43.7 4.6 4.8 +5.8 กุ้งแช่แข็ง 26.0 28.7 0.9 2.3 +157.7 ข้าว 23.1 20.6 1.9 1.7 -10.2
รวมทั้งสิ้น 247.8 211.2 15.0 20.3 +35.2 กุ้งแปรรูป 44.9 53.5 2.5 5.7 +125.5 สับปะรดกระป๋อง 40.2 25.8 2.5 2.1 -16.8 ปลาทูน่ากระป๋อง 20.5 10.5 0.2 1.8 +701.1 ที่มา กรมศุลกากรไทย ที่มา: http://www.depthai.go.th