สถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะการค้าภูมิภาคยุโรป ระหว่างวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 31, 2010 15:34 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 53 ยังคงทรงตัวจากช่วงก่อนหน้า โดยสานักงานสถิติแห่งอิตาลี (ISTAT) ได้รายงานว่าในปี 2552 ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมได้ลดลงถึง 17.4% จากปีก่อน ซึ่งต่าสุดนับตั้งแต่ปี 2534 อุตสาหกรรมที่มีผลผลิตลดลงอย่างมากได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเหล็ก (-28.7%) อุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อขนส่ง (-25.2%) ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารลดลงเล็กน้อย (-1.6%) และกลุ่มอุตสาหกรรมยาเพิ่มขึ้น (2.8%)

2. สถาบันศึกษาและวิเคราะห์เศรษฐกิจ (ISAE) ได้คาดการณ์ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอิตาลีในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 จะเพิ่มขึ้น 2% (เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2552) และจะเติบโตต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2 ปี 2553 แม้ว่าจะคงมีผลผลิต (Production) ที่ต่ากว่าช่วงก่อนเกิดภาวะเกิดภาวะเศรษฐกิจ

3. รายงานจากสมาพันธ์ผู้ขายปลีกแห่งอิตาลี (CONFCOMMERCIO) แจ้งว่าในเดือน ม.ค. 53 การใช้จ่ายของครัวเรือนเพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการกระเตื้องขึ้นอย่างช้าๆและต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2552 เป็นต้นมา แต่ก็ยังต่ากว่าช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ค่อนข้างมาก

สินค้าที่มีการใช้จ่ายมากขึ้น ได้แก่ โทรทัศน์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์เป็นต้น

4. รายงานของ Nomisma Economic Research Group แห่งโบโลญญ่าเปิดเผยผลการสารวจระหว่างปี 2534 — 2552 ว่าอัตราค่าเช่าบ้านได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 105% ในขณะที่รายได้ของครัวเรือนเพิ่มขึ้นเพียง 18%

ทั้งนี้ จานวนประชาชนที่เช่าบ้านจะน้อยกว่าประชาชนที่มีบ้านเป็นของตนเอง โดยครอบครัวที่มีรายได้ต่ากว่า 2,000 ยูโรต่อเดือนจะนิยมเช่าบ้านอยู่มากกว่า(71.6 % )ในขณะที่ครอบครัวที่มีรายได้สูงกว่า 4,000 ยูโรต่อเดือนที่เช่าบ้านอยู่มีเพียง 1.7%

5. รายงานจากสมาพันธ์ผู้ผลิตสินค้าเกษตรแห่งอิตาลี (COLDIRETTI) แจ้งว่าในปี 2552 ราคาสินค้าอาหาร(ซึ่งมีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านยูโร) จาพวกขนมปัง แครอทได้เพิ่มสูงขึ้นกว่า 1,000% เมื่อเทียบจากปีก่อน ซึ่งมีสาเหตุจากการเก็งกาไรและขาดประสิทธิภาพของเกษตรกรฯ ตัวอย่างเช่น ราคาขนมปังจะสูงกว่าราคาของผู้ผลิตข้าวสาลี 1,745% แครอท +1,000% (เป็นราคาฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร) พาสต้า +490% องุ่น +422% มะนาว +374% ส้ม +350 - 372%

6. ISTAT ได้รายงานว่าในปี 2552 อิตาลีส่งออกลดลง 20.7% (ซึ่งนับว่าต่าสุดหลังจากได้เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2513) แต่หากดูเฉพาะเดือน ธ.ค. 52 อิตาลีส่งออกได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและการนาเข้าลดลง 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในทางกลับกันอิตาลีกลับขาดดุลการค้าลดลงเหลือเพียง 4,109 พันล้ายูโร เมื่อเทียบกับปี 2551 (ขาดดุลการค้า 11,478 พันล้านยูโร) ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของราคาน้ามันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ในปี 2551 มีราคาสูงขึ้นอย่างมาก นาย Adolfo Urso ผู้ช่วย รมว.กระทรวงพัฒนาเศษฐกิจและดูแลการค้าต่างประเทศกล่าวว่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. 52 แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและคาดว่าปี 2553 อิตาลีจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น +4% ทั้งนี้ ในปี 2552 อิตาลีส่งออกไปสหภาพยุโรปได้ลดลง 22.5 % และนาเข้าลดลง 17.8% ทาให้อิตาลีขาดดุลการค้ากับสหภาพยุโรปถึง 1,791 พันล้านยูโรเมื่อเทียบกับปี 2551 ที่อิตาลีได้ดุลการค้า 9,942 พันล้านยูโร

7. กลุ่มวิเคราะห์ด้านสังคมและเศรษฐกิจ(Socioeconomic think-tank) ของ CESSIS ได้รายงานว่าผลการสารวจว่าคนอิตาเลียน 8 ใน 10 คน เห็นว่าคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในอิตาลีอย่างผิดกฎหมายสมควรได้รับการดูแลภายใต้ระบบสาธารณสุขของรัฐด้วย โดยคนอิตาเลียนมากกว่าร้อยละ 65 เห็นว่าการบริการดูแลด้านสุขภาพโดยรัฐควรครอบคลุมประชาชนทุกคน ร้อยละ 12 เห็นว่าไม่ควรได้รับการบริการเพราะไม่ได้เสียภาษีและร้อยละ 8 เห็นว่าหากให้คนต่างชาติได้รับการบริการจะป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่คนอิตาเลียน

ทั้งนี้ ผลการสารวจของ CENSIS เมื่อเดือน ธ.ค. 52 พบว่า ร้อยละ 40 ของคนอิตาเลียนเห็นว่า ต้นทุนการบริการด้านสุขภาพได้เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย 1 ใน 5 ของคนอิตาเลียนไม่เข้ารับการรักษาทางการแพทย์อย่างเต็มที่เพราะไม่สามารถจ่ายเงินได้

8. สถาบันศึกษาและวิจัยทางเศรษฐกิจแห่งอิตาลี (ISAE) ได้รายงานว่า การหดตัวของสินเชื่อ (Credit Crunch) ในอิตาลีซึ่งเป็นผลจากวิกฤตการเงินโลกได้เริ่มกระเตื้องขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2552 เป็นต้นมา โดยกระเตื้องขึ้นทั้งในด้านภาพรวมทั่วไปและครอบคลุมถึงทุกอุตสาหกรรม

จากข้อมูลที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาความลาบากในการขอสินเชื่อ ณ เดือน ม.ค. 53 ปรากฎว่าอัตราส่วนของกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหการผลิตที่ร้องเรียนลดลง 18.4 % (เดือน พ.ย. 51 = 43.5%) กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจบริการลดลง 14% (เดือน พ.ย. 51 = 49%) กลุ่มผู้ประกอบการจาหน่ายปลีกลดลง 12.3% (เดือน มี.ค. 51 = 43.1%) และกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างลดลง 34% (เดือน พ.ค. 51 = 52%)

9. สานักงานสถิติแห่งอิตาลี (ISTAT) ได้รายงานว่า ระหว่างปี 2547 — 2552 มีการจ้างงานใหม่ราว 1.7 ล้านคน ซึ่งในจานวนนี้เป็นคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในอิตาลี (Immigrants) ถึง 850,000 คน และหากคิดเป็นร้อยละของการจ้างงานทั้งหมด ปรากฎว่าการจ้างแรงงานต่างชาติได้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเท่าตัว คือจาก 3% เป็น 6.5% ทั้งนี้ ISTAT ได้ประมาณการว่ามีคนงานต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอิตาลีมากกว่า 8% ของกาลังแรงงานในอิตาลีโดย 2 ใน 3 เป็นการจัดจ้างแบบถูกกฎหมายและคาดว่าในปี 2552 จะมีคนต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่ในอิตาลีราว 4.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 6.3% ของประชากรอิตาลี (60.2ล้านคน)

10. รมว.อุตสาหกรรมอิตาลี(นาย Claudio Scaiola) ได้เปิดเผยว่าได้รับข้อเสนอ 8 -10 รายที่จะเข้าเทคโอเวอร์โรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัทเฟี๊ยตที่เมือง Termini imerese ในซิซิลี ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะปิดโรงงานในปลายปี 2553 นี้ เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตและ logistic ที่สูงกว่าโรงงานอื่นๆถึงคันละ 1,200 ยูโร และยังยืนยันแผนการปิดโรงงานดังกล่าวแม้จะได้รับการร้องขอจากรัฐบาลและมีการประท้วงจากคนงานและสหภาพแรงงานก็ตาม

ผู้บริหารระดับสูงของเฟี๊ยตได้เปิดเผยว่า รัฐบาลอิตาลีได้เสนอที่จะต่ออายุมาตรการ “cash for Clunker” ในปี 2553 เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ต่อไปอีกเพื่อแลกกับการไม่ปิดโรงงานดังกล่าว อย่างไรก็ดี บริษัทเห็นว่าที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อบริษัทมากนักและเห็นว่า 70% เป็นการช่วยเหลือรถยนต์จากต่างประเทศมากกว่า แม้ว่ายอดขายของเฟี๊ยตในปี 2552 จะสูงถึง 2 ล้านคันก็ตาม

ทั้งนี้ นาย Sergio Marchionne ,CEO ของเฟี๊ยตได้เปิดเผยว่า เม็กซิโกจะเป็นตัวจักรสาคัญในการขยายตลาดรถเฟี๊ยตในอเมริกา ซึ่งจะเริ่มการผลิตรถเฟี๊ยต 500 (ซิตี้คาร์) ในปี 2553 นี้ โดยบริษัทเฟี๊ยตได้เข้าเทคโอเวอร์โรงงานผลิตรถยนต์ที่เมือง Toluca เม็กซิโก จากบริษัทไครส์เลอร์ มูลค่าการลงทุน 550 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (400 ล้านเหรียยสหรัฐมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินของเม็กซิโก ได้แก่ BANCOMEXT และ NAFIN บริษัทเห็นว่าการผลิตรถยนต์ของโรงงานดังกล่าวจะช่วยรองรับความต้องการจากตลาดอเมริกาเหนือและบราซิล โดยบริษัทต้องผลิตรถให้ได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยของสหรัฐฯด้วย

นอกจากนี้ บริษัทเฟี๊ยตยังได้ขยายตลาดรถเฟี๊ยตในรัสเซียผ่านผู้ร่วมทุน (Joint venture) รายใหม่คือ บริษัท Sollers ซึ่งเป็นโฮลดิ้งคอมปานีของบริษัท SEVERSTALAVTO ผู้ผลิตรถยนต์ในรัสเซีย โดยนายกรัฐมนตรีวลาดิเมียร์ ปูตินและนาย Sergio Marchionne จะร่วมจับมือกันในการลงนามในความตกลงฉบับใหม่ที่จะผลิตรถเฟี๊ยต LINEA ที่โรงงาน NABEREZINIE CELNI ในเมือง Tatarstan ซึ่งมีการผลิตรถเฟี๊ยต Albea และเฟี๊ยต Doblo อยู่แล้ว โดยเฟี๊ยตและ Sollers จะถือหุ้นในโรงงานดังกล่าวซึ่งผลิตรถยนต์ปีละ 75,000 คัน ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน อนึ่ง เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว นาย Marchionne ได้ลงนามในการร่วมทุน (Joint venture)ระหว่างบริษัทกับ (NHC earth moving division case new Holland) และ Kamaz (ผู้ผลิตรถยนต์หนักรายใหญ่ของรัสเซีย) โดยในโอกาสดังกล่าว นาย Marchionne ยังได้แจ้งด้วยว่าเขาหวังว่าในอนาคตเฟี๊ตจะสามารถผลิตรถจิ๊ปในรัสเซียด้วย ทั้งนี้ รถจิ๊ป marque เป็นรถในกลุ่มบริษัทไครสเลอร์ ซึ่งบริษัทเฟี๊ยตได้เข้าไปเทคโอเวอร์เมื่อปลายปี 52 ที่ผ่านมา

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ