ตลาดสินค้าเม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกา

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 1, 2010 14:17 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ขนาดของตลาด

สหรัฐฯ เป็นผู้นำอุตสาหกรรมพลาสติกของโลกอุตสาหกรรมมีมูลค่าประมาณ 380 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 2.6 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์รวมประชาชาติ (Gross Domestic Product) ของสหรัฐฯ อุตสาหกรรมพลาสติกของสหรัฐฯ มีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยประมาณร้อย 3.5 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน มีโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับพลาสติกประมาณ 18,200 แห่งทั่วประเทศ และมีการจ้างงานประมาณ 710,000 คน

3. พฤติกรรมการบริโภค และ แนวโน้มความต้องการ

กระแสความยั่งยืน (Sustainable) ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องที่วงการอุตสาหกรรมพลาสติกให้ความสนใจมาขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเพิ่มการผลิตเม็ดพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Bio Plastic/ Biopolymer)

ปัจจุบัน มีหลายประเทศออกกฎหมายบังคับการใช้ Renewable Plastic เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าของใช้ต่างๆ สำหรับในประเทศสหรัฐฯ กฎหมาย Federal Farm Bill บังคับให้หน่ายงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยวัตถุดิบชีวภาพ ( Bio Base Materials) ให้ได้มากที่สุด

บริษัท Nature Works ผู้นำการผลิต Biopolymer ของสหรัฐฯ รายงานว่า บริษัทฯ ขายเม็ดพลาสติกชนิดนี้กว่า 100 ล้านปอนด์ และเพิ่มกำลังผลิตเป็นสองเท่าตัวในปีนี้ และบริษัทกำลังจะเปิดโรงงานผลิตอีกแห่งหนึ่งในรัฐเนบราสก้า

บริษัท Frito-Lay ผู้นำตลาดอาหารประเภท Snack Foods รายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกชนิด Polyproplylene ไปใช้ถุงพลาสติกที่ผลิตจาก Bioplastic เพื่อบรรจุ Snack Foods

คาดการณ์ว่า ความต้องการ Biopolymer ในสหรัฐฯจะสูงถึง 570 ล้านปอนด์ในปี 2553 และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.2 พันล้านปอนด์ในปี 2555 และคาดว่า ความต้องการPolymer ชนิดนี้จะขยายตัวประมาณร้อยละ 13-15 ไปจนถึงปี 2557

4. การค้าระหว่างประเทศ

สหรัฐฯ นำเข้าพลาสติกในปี 2552 เป็นมูลค่า 28,211.11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปี 2551 ที่ผ่านมาร้อยละ -25.79 ซึ่งแยกเป็นการนำเข้าเม็ดพลาสติก มูลค่า 7,987.07 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ลดลงไปร้อยละ -32.60) และ ผลิตภัณฑ์พลาสติกมูลค่า 28,211.11 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ลดลงไปร้อยละ -16.87) แหล่งนำเข้าพลาสติกที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ จีน (28%) แคนาดา (26%) เม็กซิโก(9%) เยอรมนี (5%) รวมทั้งจากประเทศไทย (1%)

การนำเข้าพลาสติกของสหรัฐฯ ในปี 2552

หน่วย: ล้านเหรียญสหรัฐ

   พลาสติก                   การส่งออก                                  การนำข้า
                 ปี 2551       ปี 2552     เพิ่ม/ลด (%)     ปี 2551        ปี 2552     เพิ่ม/ลด(%)
เม็ดพลาสติก      30,163.53   24,170.23      -24.80        11,850.27     7,987.07     -32.60
ผลิตภัณฑ์พลาสติก   21,197.62   18,624.84      -13.81        23,635.91    20,224.42     -16.87
รวมการนำเข้า     1,361.15   42,795.07      -20.02        35,486.18    28,211.49     -25.79

สหรัฐฯส่งออกพลาสติกในปี 2552 เป็นมูลค่า 42,785.07 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปี 2551 ที่ผ่านมาร้อยละ -20.02 ซึ่งแยกออกเป็นการส่งออกเม็ดพลาสติก 18,624.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯและ ผลิตภัณฑ์พลาสติก 18,624.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เม็กซิโก (22%)แคนนาดา(21%) จีน(10%) และ ไทย(0.68%)

The Plastics Exchange ในนครชิคาโกดำเนินธุรกิจซื้อ-ขายเม็ดพลาสติกทาง Online ผ่าน Website : www.theplasticexchange.com เป็นการซื้อ-ขายแบบ Spot Price ไม่ใช่การซื้อขายแบบล่วงหน้า มีการส่งมอบสินค้าเกิดขึ้นจริง ผู้ต้องการซื้อ-ขาย ต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิก ไม่เสียค่าธรรมและเปิดให้ทั้งผู้ซื้อ-ขายในประเทศสหรัฐฯ และ จากต่างประเทศ ตลาดทำการซื้อ-ขายเม็ดพลาสติกเฉพาะชนิด HDPE, LDPE, LLDPE, GPPS, HIPS, HoPP และ CoPP ผู้ประกอบการพลาสติกไทยที่สนใจ โปรดค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก Website ของ The Plastics Exchange www.theplasticsexchange.com ซึ่งมีข้อมูลด้านราคาเม็ดพลาสติกประกาศให้ทราบเป็นรายวัน

6. สถานการณ์การแข่งขันในตลาด

ภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับส่งผลต่อการเพิ่มความต้องการเม็ดพลาสติกเพื่อผลิตสินค้าต่างๆ Mr. Kris Bledowski นักเศรษฐศาสตร์สำนัก anufacturers Alliance Policy Researchคาดว่าตลาดเม็ดพลาสติกในปี 2553 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 7 และจะลดลงเป็นร้อยละ 3 ในปี 2554

บริษัท Dow Chemical และ บริษัท BASF Corp. ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรายใหญ่ของสหรัฐฯ แจ้งว่า เม็ดพลาสติกชนิด polyethylene และ ABS จะขาดแคลนในสหรัฐฯ เป็นเวลาอย่างน้อยประมาณ 90 วันนับจากเดือนมีนาคม 2553 ซึ่งเป็นผลให้ราคาของเม็ดพลาสติดทั้งสองชนิดเพิ่มขึ้นมาต้นปี 2553

ผู้นำตลาดการผลิตเม็ดพลาสติกสหรัฐฯ รายสำคัญในสหรัฐฯ คือ DuPont, Dow Chemicals, Chevron และ Exxon Mobil Chemicals ซึ่งมีผลผลิตประมาณร้อยละ 60 ของตลาด ผู้ผลิตอื่นที่สำคัญคือ BASF, EMS Grivoy, Lyondell Basell และ PolyOne ผู้ผลิตต่างประเทศเข้ามาตั้งโรงงานพลาสติกในสหรัฐฯ ได้แก่ อังกฤษ เยอรมัน อิตาลี่ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน จีน และสิงคโปร์ มีจำนวนกว่า 50 โรงงาน ผู้ผลิตสหรัฐฯ ครองตลาดเม็ดพลาสติกในสหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 85 และอีกร้อยละ 15 เป็นของตลาดนำเข้าจากเอเซีย ยุโรป และ ภูมิภาคอเมริกา

7. มาตรการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี

7.1 ด้านภาษี : สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าพลาสติกไทย ในอัตราร้อยละ 0.0 —25.0 เม็ดพลาสติกบางชนิด และ ผลิตภัณฑ์พลาสติกหลายชนิดได้รับการยกเว้นภาษี GSP

7.2 ไม่ใช่ภาษี:

  • ภาษีทุ่มตลาด (Anti Dumping Duty) สินค้าถุงพลาสติกไทยถูกเรียกเก็บ
  • ระเบียบการควบคุมด้าน Solid Waste ของ U.S Environment Protection Agency
  • ระเบียบห้ามใช้ถุงพลาสติก Shopping Bag ของรัฐบาลท้องถิ่นในสหรัฐฯ
  • การทดสอบมาตรฐานพลาสติกของสินค้าพลาสติก ABS
  • มาตรฐานสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก เช่น Plastic Pallet,
  • มาตรฐานพลาสติกชนิด PET Plastic Recycling
8. SWOT สถานการณ์สินค้าพลาสติกและผลิตภัณฑ์ไทยในสหรัฐฯ

จุดแข็ง

1. มีการผลิตเม็ดพลาสติกที่หลากหลายทั้งเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไปและเกรดพิเศษ มีวัตถุดิบพร้อม อีกทั้งมีอุตสาหกรรมปลายทางในประเทศที่มีศักยภาพและมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและ อิเล็กทรกนิกส์มีวัตถุดิบเพียงพอและหลากหลาย

2. ต้นทุนการผลิตโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ดำรงฐานะการแข่งขันได้

3. มีระดับเทคโนโลยีการผลิตที่ทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ

4. เป็นอุตสาหกรรมแบบครบวงจรก่อให้เกิดความได้เปรียบในด้านต้นทุน

โอกาส

1. สหรัฐฯ เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงและตลาดสามารถรองรับผลิตภัณฑ์พลาสติกรูปแบบต่างๆ) และผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นส่วน ประกอบในการผลิต เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคส์ เฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้างเครื่องใช้สำนักงาน ของเล่น เครื่องเขียน บรรจุภัณฑ์อาหารแปรรูป เป็นต้น

2. ตลาดสหรัฐฯ มีกฎระเบียบที่จะเป็นอุปสรรรคต่อการขยายตลาดน้อย

3. ตลาดผลิตภัณฑ์พลาสติกในสหรัฐฯ มีความน่าสนใจ และมูลค่าการนำเข้าสูงกว่าเม็ดพลาสติก

จุดอ่อน

1. ขาดการพัฒนาด้านนวัตกรรม วิจัยค้นคว้าอย่างเป็นระบบ และขาดเทคโนโลยี่ขั้นสูง

2. ยังไม่สามารถพัฒนากระบวนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การลดต้นทุน การประหยัดพลังงาน การพัฒนา หีบห่อเพื่อสนองต่อการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขาดการสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์

3. อุตสาหกรรมสนับสนุนไม่แข็งแรง (แม่พิมพ์)

4. ขาดระบบรับรองมาตฐานคุณภาพที่ยอมรับจากสากล

5. วัตถุดิบต้องพึ่งพิงการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่

อุปสรรค

1. ประสบปัญหาด้านความครอบคลุมของโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติก

2. นโยบายลดการใช้แพคเกจจิ้งหรือบรรจุภัณฑ์และถุงพลาสติกที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ

3. อุตสาหกรรมพลาสติกไทยด้อยกว่าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยี่และตลาดพลาสติก ในด้านการวิจัยและพัฒนา จะเป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาด

4. ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นโดยต่อเนื่องเป็นผลให้ราคาเม็ดพลาสติกสูง ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสูง

5. ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้นทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาแพงขึ้นเมื่อเทียบกับสินค้าจากประเทศคู่แข่ง เช่น จีน หรือ อินเดีย

6. มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด หรือ Antidumping AD ซึ่งประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีถุงพลาสติกในปัจจุบัน

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ