รัฐอาร์คันซอส์ (Arkansas)

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 1, 2010 17:27 —กรมส่งเสริมการส่งออก

พื้นฐานเศรษฐกิจของรัฐอาร์คันซอส์ คือ เกษตรกรรม ผลผลิตเกษตรกรรมที่เด่นของรัฐได้แก่ การเลี้ยงไก่ มากที่สุดของประเทศ โดยมีบริษัท Tyson Foods เป็นผู้นำตลาดเนื้อไก่ในสหรัฐฯ และปลูกข้าวเจ้าได้มากที่สุดของสหรัฐฯ สินค้าเกษตรกรรมชนิดอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ฝ้าย น้ำตาล และถั่วเหลือง

รัฐอาร์คันซอส์มีมวลภัณฑ์ประชาชาติในปี 2551 เป็นมูลค่า 98.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากเป็นอันดับที่ 34 ของสหรัฐฯ และรายได้เฉลี่ยต่อหัวของของรัฐอาร์คันซอส์คิดเป็น 31,946 เหรีญญสหรัฐฯ ต่ำกว่าอัตราเฉี่ลยของสหรัฐฯ (40,208 เหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งถือได้ว่า เป็นรัฐที่รายได้ต่ำของสหรัฐฯ

ผู้ประกอบการรายสำคัญของรัฐอาร์คันซอส์ คือ ห้าง Wal-Mart ผู้นำตลาดค้าปลีกของโลก บริษัท J.B. Hunt ผู้นำตลาดในเรื่องการขนส่ง และ บริษัท Tyson Foods ผู้นำตลาดเนื้อไก่ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ

รัฐอาร์คันซอส์เป็นรัฐฯ ที่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The Natural State และมีการสร้างเศรษฐกิจแนวใหม่ (New Economy)โดยเน้น Green Economy ซึ่งมีโครงการภายใต้ชื่อ Growing Arkansas’ Green Economy ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนพลังงานทดแทนต่างๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์พลังงานลม และพลังงานไฟฟ้า

โครงการนี้จะสามารถส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชากรรัฐอาร์คันซอ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่ กลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำที่อาศัยในเมืองหลวง และเมืองสำคัญอื่นๆ ในรัฐอาร์คันซอ โดยมี่มีกลุ่ม American Clean Energy and Security Act และ กลุ่ม The green energy feature of the American Recovery and Reinvestment Act ช่ายในการพลักดัน และจาการวิจัยพบว่าประโยชน์ที่รัฐอาร์คันซอจะได้รับจากพัฒนา Green Economy มีดังนี้

1. การสร้างงานใหม่ เกิดขึ้นจำนวน 3,707 งาน และ 1,812 งาน สำหรับ HS diploma

2. อัตตราการว่างงานลดลงร้อยละ 1.1 และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2

3. อัตราค่าครองชีพลดลงร้อยละ 3

4. ปัจจัยพื้นฐานในด้านการบริการรถสาธารณะที่ดีขึ้นมีผลให้ อัตราค่าครองชีพของคนที่อยู่บริเวณรอบตัวเมืองลดลงร้อยละ 1-4 และสำหรับคนที่ใช้รถส่วนตัวสามารถลดอัตราค่าครองชีพได้ถึงร้อยละ10

ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐอาคันซอส์
  สาขาเศรษฐกิจใหม่                     อันดับ         คะแนน
1. Knowledge Job                      48           3.76
2. Globalization                      45           7.45
3. Economic Dynamism                  42           6.99
4. Digital Economy                    47           5.51
5. Innovation Capacity                45           4.59
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation
มลรัฐอิลลินอยส์ (Illinois)

พื้นฐานของเศรษฐกิจรัฐอิลลินอยส์ตั้งอยู่บนทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมรัฐอิลลินอยส์มีความสำคัญเป็นอันดับที่ 5 ของประเทศสหรัฐฯ มีผลิตภัณฑ์ประชาชาติของรัฐ (Gross State Products) ประมาณ 633 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551 หรือคิดเป็นร้อยละ 4.45 ของผลิตภัณฑ์ประชาชาติรวมของสหรัฐฯ

การค้าระหว่างประเทศ เป็นกิจกรรมเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐฯ โดยส่งออกสินค้าเป็นมูลค่า 48.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551 หรือ มากเป็นอันดับที่ 5 ของสหรัฐฯ สินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ ผลผลิตทางเกษตกรรมกรรม เช่น ข้าวโพด และ ถั่วเหลือง สินค้าอุตสาหกรรมกรรม ได้แก่ Metal Fabrication, Electronic & Computer, Medical Equipment, Communication ภาคเกษตรกรรม ผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม (Agricultural Commodities) ที่สำคัญของรัฐ ได้แก่ ถั่วเหลือง (อันดับที่ 2) ข้าวโพด (อันดับที่ 2) หมู (อันดับที่ 4) และ อื่นๆ ได้แก่ โค ข้าวสาลี และ ข้าวโอ๊ต และ รัฐอิลลินอยส์ ส่งออกสินค้าเกษตรกรรม เป็นมูลค่า 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากเป็นอันดับที่ 3 ของสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 7 ของการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมของสหรัฐฯ รวมกันในปี 2551 มากเป็นอันดับที่ 7 ของสหรัฐฯ

ภาคอุตสาหกรรม มีโรงงานอุตสหกรรมรวมประมาณ 18,300 แห่งทั่วมลรัฐ และ มีผลผลิตอุตสาหกรรมรวมประมาณ 107 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ มากเป็นอันดับที่ 5 หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 114 ของมูลภัณฑ์ประชาชาติรวมของสหรัฐฯ อุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ Chemical, Electronics, Metal Fabrication, Transportation Equipment, Food Processing

การคมนาคมและขนส่ง รัฐอิลลินอยส์เป็นผู้นำในด้านคมนาคมและขนส่ง โดยเป็น Railroad Hub ของประเทศสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางขนส่งทางบกของเขตตอนกลางของประเทศ และเป็นศูนย์กลางขนส่งทางอากาศ ซึ่งสนามบิน O’Hare International Airport จัดว่าเป็นสนามบินที่มีจราจรคับคั่งมากที่สุดของสหรัฐฯ เศรษฐกิจรูปแบบใหม่กับรัฐอิลลินอยส์

มลรัฐอิลลินอยส์ได้รับจัดอันดับที่ 16 ในด้านเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐอิลลินอยส์ยังไม่ผลักดันในเรื่องเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ทุกสาขา แต่จะเลือกในส่วนที่เหมาะสมหรือมีทรัพยากรสนับสนุนเท่านั้น

คณะรัฐบาลรัฐอิลลินอยส์ชุดปัจจุบัน เห็นความสำคัญของเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ว่า จะเป็นหนทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัจจุบัน การผลักดันด้านเศรษฐกิจใหม่รูปแบบใหม่ของรัฐอิลลินอยส์ มุ่งในด้าน Technology และ Renewable Energy เป็นสำคัญ

1. Technology

1.1 รัฐอิลลินอยส์ส่งเสริมเทคโนโลยี่ 4 สาขา คือ Telecommunication, Bio Technology, Electronics และ Information Technology

1.2 ศักยภาพด้านเทคโนโลยี่ในรัฐอิลลินอยส์

  • Argonne National Laboratory เป็นศูนย์วิจัยค้นคว้า และทดสอบ ด้าน Advance Techonology ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ
  • The University of Illinois at Urbana-Champaign เป็นผู้คิดค้น Web browser (MOSAIC) โดย the National Center for Supercomputing Applications a
  • Chicago Technology Park ในนครชิคาโกเป็นศูนย์การวิจัยค้นคว้าในด้านbioinformatics และ biotechnology ที่สำคัญแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ
  • DuPage County Technology Park เพื่อรองรับ high-tech activities
  • Illinois Biotechnology Industry Organization (www.ibio.org) ซึ่งเป็นองค์กรด้าน life sciences centers ที่สำคัญของเขตตอนกลางของสหรัฐฯ

1.3 Technology ในรัฐอิลลินอยส์

  • มีกิจการ Advance Technology จำนวน 8,270 แห่ง
  • กิจการ Bio Technology จำนวน 1,405 แห่ง
  • กิจการ Information Technology จำนวน 7,234 แห่ง
  • กิจการ Telecommunication จำนวน 1,844 แห่ง
  • กิจการ Transportation Technology จำนวน 284 แห่ง
2. Renewable Energy

ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นเกษตรกรรม ซึ่งสามารถนำผลผลิตสำคัญของรัฐ เช่น ข้าวโพด และ ถั่วเหลืองไปเป็นวัตถุดิบหรือทรัพยกรในการผลิตพลังงานทดแทน รัฐอิลลินอยส์จึงมุ่งเสริมสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงานด้วยการลงทุนด้านพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ในสองสาขา คือ พลังงาน Bio Fuels ซึ่งได้แก่ Ethanol และ Bio Diesel และพลังงานลม (Wind Energy)

2.1 Bio Fuels: Ethanol & Bio Diesel

1) Illinois Sustainable Technology Center (ISTC) ดำเนินการด้าน Bio Diesel

2) Energy Biosciences Institute ของมหาวิทยาลัย University of Illinois at Urbana Champaign ได้รับเงินสนับสนุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการทำการวิจัยค้นคว้า Bio Fuels

3) รัฐอิลลินอยส์เป็นแหล่งปลูกข้าวโพดมากเป็นอันดับที่สองของสหรัฐฯ และนำผลิตข้าวโพดประมาณร้อยละ 40 ไปผลิต Bio Fuels

4) บริษัท Archer Daniels Midland ในเมือง Decatur เป็นผู้นำในการผลิต Bio Fuels ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเป็นผู้ผลิต Ethanol จากข้าวโพดรายใหญ่ที่สุดของโลก

5) รัฐอิลลินอยส์มีผลผลิต Ethnol ของประเทศ ประมาณ 1.2 ล้านแกลลอน

6) รัฐอิลลินอยส์มีโรงงานผลิต Bio Fuel จำนวน 22 แห่ง หรือมากเป็นอันดับที่ 4 ของสหรัฐฯ โดยแยกเป็นโรงงานผลิต Ethanol จำนวน 16 แห่ง และ โรงงานผลิต Bio Diesel จำนวน 6 แห่ง

7) รัฐอิลลินอยส์มีกำลังการผลิต Ethanol จำนวน 2,332 ล้านแกลลอน ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 3 ของสหรัฐฯ และ Bio Diesel จำนวน 146 ล้านแกลลอน

2.2 Wind Energy

1. กระทรวงพลังงาน (Department of Energy) สหรัฐฯ ประเมินการการดำเนินการผลักดันพลังงานลมของรัฐอิลลินอยส์ในระดับธรรมดา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐอิลลินอยส์ยังไม่เร่งผลักดันพลังงานลมเท่าที่ควร

2. รัฐบาลมลรัฐอิลลินอยส์ออกกฎหมายบังคับให้ใช้พลังงานไฟ้ฟ้าจาก Renewable Source ร้อยละ 25 นับตั้งแต่ปี 2025 (2568) ซึ่งเป็นการสนับสนุนต่อการขยายตัวของการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม (Wind Energy) ในรัฐอิลลินอยส์

3. ปัจจุบัน รัฐอิลลินอยสืมีการติดตั้ง Wind Power มากเป็นอันดับที่ 19 ของสหรัฐฯ หรือผลิตกระแสไฟฟ้าได้จำนวน 1,116.06 เมกาวัตต์ ปัจจุบัน กระแสไฟไฟ้าพลังงานลมคิดเป็นร้อยละ 2.5 ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดของรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากพลังงานนิวเคลียร์

4. คาดว่ากำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวภายในปี 2012 (2555) ผู้ประกอบการรายสำคัญ ได้แก่ Twin Grove, Rail Splitter, Co Grove และ Mendota Hills, Horizon Wind Energy Midwest Wind Energy

ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐอิลลินอยส์

สาขาเศรษฐกิจใหม่                     อันดับ          คะแนน
1. Knowledge Job                    12           12.19
2. Globalization                    10           10.15
3. Economic Dynamism                28            8.70
4. Digital Economy                  23           10.39
5. Innovation Capacity              21            8.83
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation
มลรัฐอินเดียน่า (Indiana)

มูลภัณฑ์ประชาชาติของรัฐอินเดียมีมูลค่า 227 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551 Indiana Green Economy รัฐอินเดียน่าส่งออกสินค้ารวมเป็นมูลค่า 26.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากเป็นอันดับที่ 14 ของสหรัฐฯ

รัฐอินเดียน่าเป็นแหล่งที่มีผลผลิตเกษตรกรรมรวมมากอันดับที่ 8 ของสหรัฐฯ โดยมีผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้าวโพด ถั่วเหลือง หมู ไข่ไก่ และ นม รัฐอินเดียน่าส่งออกสินค้าผลผลิตเกษตรเป็นมูลค่า 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ มากเป็นอันดับที่ 9 ของสหรัฐฯ ในปี 2551 รัฐอินเดียน่ามีผลผลิตถั่วเหลืองมากเป็นอันดับที่ 4 ของสหรัฐฯ และส่งออกถั่วเหลืองเป็นมูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากเป็นอันดับที่ 4 ของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ส่งออกข้าวโพดมากเป็นอันดับที่ 5 ของสหรัฐฯ

การผลิตรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมหลักของรัฐอินเดียน่า ได้แก่ โรงงานผลิตรถยนต์ Subaru, Honda และ GM นอกจากนั้นแล้ว รัฐอินเดียน่าเป็นแหล่งผลิตรถ RV (Recreation Vehicle) ที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ โดยมีฐานการผลิตอยู่ที่เมือง Elkhart

เศรษฐกิจรูปแบบใหม่กับรัฐอินเดียน่า

1. Electric Vehicle: THINK ผู้ผลิตรถไฟฟ้าจากประเทศนอร์เวย์เปิดโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่เมือง Elkhart ทางตอนเหนือของรัฐ มีกำลังผลิต 20,000 คัน ต่อปี และคาดว่าจะผลิตออกจำหน่ายในปี 2013 (2556)

2. Bio Fuels: มีโรงงาน Bio Fuel จำนวน 18 โรงงาน

3. Wind Energy: ปัจจุบัน รัฐอินเดียติดอันดับที่ 13 ของสหรัฐฯ ในด้านการลงทุนด้านพลังงานลม น่าผลิตพลังงานไฟ้ฟ้าจากพลังงานลมได้ประมาณ 1035 กิโลวัตต์

4. Bio Mass : ผลิตกระแสไฟฟ้าจากมวลชีวภาพ สารอินทรีย์ ช่น เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร มูลสัตว์ หรือ กากจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม และสามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานได้ แลบะ Clean Coal: การปรับสภาพถ่านหินให้เป็นของเหลว โดยการใช้ Clean Coal Technology ซึ่งเป็นการช่วยลดมลภาวะ

ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐอินเดียน่า
   สาขาเศรษฐกิจใหม่                  อันดับ         คะแนน
1. Knowledge Job                    38           6.37
2. Globalization                    25           9.25
3. Economic Dynamism                41           7.21
4. Digital Economy                  36           8.54
5. Innovation Capacity              31           6.79
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation
มลรัฐไอโอวา (Iowa)

รากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมที่สำคัญของรัฐไอโอวา มาจากการเกษตร การปศุสัตว์ การป่าไม้ เป็นหลักเนื่องจากพื้นที่อยู่ในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำสายสำคัญหลายสาย เช่น Mississippi แม่น้ำ Missouri แม่น้ำ Big Sioux เป็นต้น และมีพื้นที่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ในเวลาต่อมาอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญของรัฐไอโอวาที่เกิดขึ้นเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องและสนับสุนนการเกษตร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักและมีสัดส่วนมากที่สุดของรัฐไอโอวาการสร้างเศรษฐกิจแนวใหม่ของรัฐรัฐไอโอวา ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐ ในศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมหลักเหล่านี้ ได้แก่

1. อุตสาหกรรมการเกษตรและการผลิตอาหาร ผลิตผลทางการเกษตรที่โดดเด่นของรัฐไอโอวา ได้แก่ หมู ข้าวโพด ถั่ วเหลือง ไข่ จึงทำให้รัฐไอโอวาเป็นที่ตั้งของกลุ่มผู้ผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ เช่น

  • บริษัทสาขา ConAgra Foods ผลิตอาหารบรรจุห่อ/จำหน่ายให้กับร้านค้าปลีกร้านอาหาร และผู้ให้บริการด้านอาหารประเภทต่างๆ ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก
  • บริษัท Wells Blue Bunny ผลิตไอสครีม และผลิตภัณฑ์จากนม ติดอันดับ 3 ในสหรัฐฯ
  • บริษัท Barilla ผลิตผลิตภัณฑ์ Pasta และผลิตภัณฑ์อาหารอิตาเลี่ยนและยุโรป
  • บริษัท General Mills
  • บริษัท Hormel Foods ตั้งโรงงานผลิตอาหารบรรจุห่อและอาหารสำหรับไมโครเวฟ ตั้งอยู่ที่เมือง DuBuque

2. อุตสาหกรรมหนัก/เครื่องจักรเครื่องยนต์และอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยี่ก้าวหน้าและระบบการผลิตที่ใช้เทคโนโลยี่ในการผลิต เช่น บริษัท 3M บริษัท ALCOA บริษัท John Deere (ผลิตเครื่องจักรกล/อุปกรณ์การเกษตร) บริษัท Maytag Corp และบริษัท Amana Corp (ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน ซึ่งเป็นเครือของบริษัท Whirlpool Corp)

3. อุตสาหกรรมด้านอากาศยาน บริษัท Rockwell Collins Inc ผู้นำการผลิตในอุตสาหกรรมอากาศยาน และการวางระบบเทคโนโลยี่ข้อมูลข่าวสารด้านอากาศยานยนต์และระบบการป้องกันภัย อยู่ที่เมือง Cedar Rapids

4. บริษัท HNI Corp ผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์สำหรับสำนักงาน ติดอันดับ 2 ของสหรัฐฯ

5. ธุรกิจบริการด้าน Logistics สืบเนื่องจากภาครัฐต้องการให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตอาหารในรัฐไอโอวา จึงมีการขยายสาธารณูปโภคต่างๆ อย่างครอบครัน และบริษัทขนาดใหญ่หลาย บริษัทเลือกจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า(distribution center) เช่น บริษัท Target Corp บริษัท General Mills บริษัท Walmart บริษัท Quaker Oats ตั้งศูนย์กระจายสินค้าในบริเวณ เมือง Cedar Rapids

6. พลังงานทางเลือกต่างๆ โดยเฉพาะ (ก) Green Technology (ข) Electric/Renewable & Sustainable Energy - Ethanon, Biodiesel (ค) Wind Energy

  • รัฐไอโอวา เป็นผู้นำการศึกษาและวิจัยในด้านพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะในด้าน Biodiesel ติดอันดับ 2 ของสหรัฐฯ และสามารถผลิต Ethanon ได้ร้อยละ 30 ของมูลค่าการผลิตรวมของสหรัฐฯ เป็นแหล่งธุรกิจ Wind Energy ในสาขาต่างๆ อันดับ 3 รองจาก รัฐเท็กซัสและแคลิฟอร์เนีย

7. เทคโนโลยี่ก้าวหน้าและระบบการผลิตที่ใช้เทคโนโลยี่ก้าวหน้า (ก) Biotechnology (ข) Bioscience and Technology /Research (ค) (ง)

  • รัฐโอโอวาเป็นผู้นำการผลิต บริษัทซึ่งเป็นการพัฒนาการผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบ Biodegrade สหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารโดยบริษัท Naturally Iowa LLC และ บริษัท Natureworks LLC เป็นบริษัทแรกของโลกที่ใช้ผลิตภัณฑ์ dairy ใช้ Natureworks PLA bottling
  • รัฐโอโอวาเป็นแหล่งรวมการศึกษาวิจัยในสาขาต่างๆ โดยเฉพาะ Bioscience จึงเป็นที่ดึงดูดบริษัทต่างๆ ที่มีความต้องการด้าน Biosciences induatry มาตั้งศูนย์วิจัยที่รัฐไอโอวา เช่น บริษัท Ajinomoto Heratland LLC บริษัท Boehringer Ingelheim Vetmedica บริษัท Cargill
ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐไอโอว่า
   สาขาเศรษฐกิจใหม่                 อันดับ          คะแนน
1. Knowledge Job                   22           9.10
2. Globalization                   39           7.75
3. Economic Dynamism               45           6.25
4. Digital Economy                 43           7.12
5. Innovation Capacity             38           5.46
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation
มลรัฐเคนตัคกี้

รากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมที่สำคัญของรัฐเคนตัคกี้มาจาก การเกษตร (ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ มะเขือเทศ แอปเปิ้ล ฝ้าย) ปศุสัตว์ (วัว ม้า ไก่ หมู นม ไข่ไก่) การผลิตถ่านหิน แก๊ส ธรรมชาติ ยาสูบ เหล้าวิสกี้ อุตสาหกรรมทอผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้า การผลิต/ประกอบรถยนต์ อุปกรณ์ชิ้นส่วนเครื่องบิน เรือ รถไฟ , เคมีภัณฑ์, ยา, สี, การผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ทำความร้อน-เย็น เครื่องกรองอากาศ รัฐเคนตั๊กกี้เป็น Hub ของบริษัท UPS บริการขนส่งพัสดุมูลภัณฑ์ประชาชาติของรัฐเคนทัคกี้มีมูลค่า 156.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ Rank อันดับที่ 27 ของสหรัฐฯ และ ส่งออกสินค้ารวมเป็นมูลค่า 19 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากเป็นอันดับที่ 18 ของสหรัฐฯ ในปี 2551

รัฐเคนทัคกี้ติดอันดับที่ 45 ในเรื่องการดำเนินการการสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังอยู่ในระดับต่ำ การดำเนินการศรษฐกิจใหม่ ของรัฐเคนทักกี้ในปัจจุบัน มีดังนี้

1. Environmental & Energy Technology: Alternative Fuel & Renewal Energy (Synthetic Natural Gas, Ethanol) โดยมีหน่วยงาน The Kentucky New Engery Venture Fund (KNEV) ให้การสนับสนุนบริษัทต่างๆ ในการพัฒนาและนำผลิตผลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ทางการค้า

2. Biosciences

3. Information Technology & Communication

4. Human Health & Development

5. Material Science & Advanced Manufacturing

รัฐแคนซัส (Kansas)

รัฐแคนซัสเป็นมีมวลภัณฑ์ประชาชาติของรัฐเป็นมูลค่า 122.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551 หรือเป็นอันดับที่ 31 ของสหรัฐฯ และมีรายได้ประชากรอยู่ในอันดับที่ 41 ของสหรัฐฯ รากฐานเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ Agriculture เช่น การปลูกฝ้าย (มีผลผลิตมากที่สุดของสหรัฐฯ) ปศุสัตว์ (เป็นอันดับที่ 2 ของสหรัฐฯ) ถั่วเหลือง เกลือ ข้าวโพด ฯลฯ และด้านอุตสาหกรรมหลัก เช่น ชิ้นส่วนยายนต์ เครื่องบิน สิ่งพิมพ์ เคมี เสื้อผ้า ปิโตเลียม และเหมืองแร่ เป็นรัฐที่ผลิตน้ำมันและแก็สธรรมชาติ เป็นอันดับ 8 ของสหรัฐฯ

รัฐแคนซัส มีอัตราการว่างงานร้อยละ 6.4 ในเดือน มกราคม 2553 ซึ่งอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศมาก และมูลภัณฑ์ประชาชาติของรัฐเป็นมูลค่า (Gross State Products) ในปี 2551 มีจำนวน 122.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีประชากรมีรายได้ต่อหัว จำนวน 35,013 เหรียญสหรัฐฯ

ระบบ เศรษฐกิจ New Economy ของรัฐแคนซัส: ปัจจุบัน ถึงแม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจจะเป็นเกษตรกรรม แต่รัฐแคนซัสพยายามผลักดันด้านเศรษฐกิจรูปแบบใหม่มาโดยตลอด ปัจจุบันติดอันดับที่ 31 ของสหรัฐฯ การสร้างเศรษฐกิจใหม่ของรัฐแคนซัสที่ดำเนินการ ได้แก่

1. การสร้างงาน (Job Creation) เพื่อรองรับความต้องการผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และ World Class Companies ในรัฐแคนซัส ซึ่งรัฐแคนซัสได้รับจัดอันดับจาก “Gazelle Jobs” เป็นอันดับที่ 8 ประเทศสหรัฐฯ ในด้าน Job Growth

2. การจัดตั้งหน่วยงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลมลรัฐและภาคเอกชน Kansas Technology Enterprise Corporation (KTEC) เพื่อผลักดันและสนับสนุนด้าน Advance Technology เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดย KTEC จะเป็น Value Chain ระหว่าง Scientific Discoveries และ Market Driven Business

ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐแคสซัส
  สาขาเศรษฐกิจใหม่            อันดับ         คะแนน
1. Knowledge Job             24           8.72
2. Globalization             36           8.48
3. Economic Dynamism         33           7.87
4. Digital Economy           21          10.53
5. Innovation Capacity       27           7.11
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation
รัฐหลุยส์เซียน่า (Louisiana)

รัฐหลุยเซียน่าเป็นรัฐที่มี Total gross อยู่ในอันดับที่ 24 ของสหรัฐฯ และมีรายได้ประชากรอยู่ในอันดับที่ 41 ของสหรัฐฯ

พื้นฐานเศรษฐกิจของรัฐหลุยส์เซียน่า คือ เกษตรกรรม และ ประมง ผลผลิตเกษตรที่สำคัญของรัฐ ได้แก่ น้ำตาล (มีผลผลิตมากเป็นอันดับที่ 3 ของสหรัฐฯ) ข้าว (มีผลผลิตมากเป็นอันดับที่ 3 ของสหรัฐฯ) การทำประมงทะเลสร้างรายได้ให้แก่รัฐประมาณ 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากเป็นอันดับที่ 4 ของสหรัฐฯ และเป็นผู้จับ Crawfish ส่งขายมากที่สุดของโลกถึงร้อยละ 90

เมือง New Orleans เป็นเมืองที่ใหญ่และประชากรมากที่สุดของรัฐฯ และเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้า และ การท่องเที่ยวของรัฐ

รัฐหลุยส์เซียน่าเป็นรัฐที่มีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติอยู่มากคิดเป็นร้อยละ 5 ของพลังงานในสหรัฐฯ ซึ่งพบทั้งในพื้นดินและบริเวณอ่าวเม็กซิโก

ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นแบบ Old industry sector ทางรัฐจึงได้มีแนวทางการปรับปรุงเพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้นโดย การสร้างเศรษฐกิจแนวใหม่ Knowledge-Base Industry Sector ในรัฐหลุยเซียน่าได้แก่

1. การพัฒนาการศึกษาของประชาการในรัฐหลุยเซียน่าให้สูงขึ้น โดยมีการให้ทุนแก่นักศึกษาแก่ประชากรที่มีรายได้ต่ำในการเรียนระดับมหาวิทยาลัยในทุกๆ ด้าน

2. การพัฒนาการค้นคว้าวิจัย รัฐฯ ผลักดันให้มีกลุ่มหรือสมาคมการค้นคว้าวิจัยมาจากทั้งหน่วยงานรัฐ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนเกี่ยวกับการศึกษาในทุกๆด้าน ได้แก่ทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี่ เพื่อเป็นการนำไปสู่ Knowledge-Base Industry Sector

ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐหลุยส์เซียน่า
  สาขาเศรษฐกิจใหม่          อันดับ          คะแนน
1. Knowledge Job           44           5.64
2. Globalization           18           9.58
3. Economic Dynamism       29           8.65
4. Digital Economy         42           7.45
5. Innovation Capacity     44           4.61
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation
มลรัฐมิชิแกน (Michigan)

รากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมที่สำคัญของรัฐมิชิแกนมาจาก ถ่านหิน แร่ ซึ่งเป็นรัฐแรกของสหรัฐอเมริกาที่ผลิตถ่านหิน และแมกนิเซียม ผลิตผลจากภาคการเกษตร, ฟาร์ม, ไม้ (Lumber) พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐมิชิแกนตอนบน (Upper Peninsula) ปกคลุมด้วยป่าไม้ ในอดีตรัฐมิชิแกนเคยเป็นผู้นำด้านการผลิตไม้ ต่อมาในต้นศตวรรษที่ 20 รากฐานเศรษฐกิจและเป็นหัวใจหลักของรัฐมิชิแกน คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ (Automobiles) และการคมนาคมขนส่ง (Transportation) นคร Detroit เป็นที่รู้จักกันในนาม “Car Capital of the World” เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ที่ประกอบด้วยผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ หรือที่เรียกว่า Big Three คือ General Motors (GM), Ford Motors และ Chrysler อุตสาหกรรมรถยนต์ตั้งอยู่ที่ Detroit, Dearborn, Flint, Pontiac, Lansing รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมด้าน Non Electrical Machinery, Fabricated Metals, Primary Metals, เคมีภัณฑ์, ยา, อาหาร และการผลิตกระดาษ

จากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ อุตสาหกรรมรถยนต์ของรัฐมิชิแกนล้มละลาย ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของรัฐมิชิแกนตกต่ำ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบ จนปัจจุบันกลายเป็นรัฐที่มีอัตราการว่างงานสูงสุดของประเทศ

เพื่อเป็นการขับเคลื่อนภาวะเศรษฐกิจของรัฐฯ และให้มีการว่าจ้างงานเพิ่มขึ้น รัฐมิชิแกนโดยการประสานงานระหว่างภาครัฐ และเอกชน ได้ผลักดันนโยบายการสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเน้นด้าน Green และ Alternative Energy โดยหน่วยงาน Michigan Economic Development Corporation (MEDC) เป็นผู้รับผิดชอบ Alternative Energy ดังนี้

1. Advance Energy Storage-Advanced Batteries เริ่มเมื่อเดือนสิงหาคม 2552 รัฐมิชิแกนได้รับเงินช่วยเหลือ (Federal Grants) ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ (The American Recovery Act) เป็นเงินจำนวน 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการผลิตและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า/แบตเตอรี่ Hybrid Electric Vehicles (HEVs), Plug-In Hybrid Electric Vehicles (PHEVs) and Electric Vehicles (EVs)

2. Bioenergy มีโรงงานผลิตกระดาษที่เมือง Muskegon และ Gaylord เป็นโรงงานตัวอย่างที่ใช้เชื้อเพลิง Bio Energy

3. Advanced Manufacturing รัฐมิชิแกนเป็นที่รู้จักทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบ (Engineering & Design Center) ทางด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นรัฐอันดับ 4 ของประเทศ ที่ผลิตวิศวกร และเป็นรัฐอันดับ 1 ด้านวิจัยและพัฒนารถยนต์ ซึ่งใช้จ่ายปีละประมาณ 11.8 พันล้านเหรียญฯ

4. Wind Generation-Wind Energy เริ่มเมื่อปี 2008 และคาดว่า ภายในปี 2025 รัฐมิชิแกนจะใช้จากกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมประมาณร้อยละ 25

5. Solar Cells-Solar Energy หลายบริษัทในรัฐมิชิแกนได้หันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และผลิต Solar Energy Powerhouse มากกว่า 65,000 แห่ง บริษัท United Solar Ovonic ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกด้าน Thin-Flim PV Laminate ที่มีโรงงาน 4 แห่งในรัฐมิชิแกน และกำลังเปิดอีก 1 แห่ง บริษัท Hemlock Semiconductor Corporation ลงทุน 2 พันล้านเหรียญฯ ในการสร้างโรงงานพลังงานแสงอาทิตย์ นอกเมือง Saginaw

6. Life Sciences ทางด้านอุตสาหกรรม ยา อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ การวิจัยด้าน Biotechnology ซึ่งมียอดขายประมาณ 4.8 ล้านเหรียญฯ รัฐมิชิแกนจัดเป็นรัฐที่มีอัตราการขยายตัวด้าน Life Sciences สูงเกินอัตราเฉลี่ยของประเทศ และจัดเป็นรัฐอันดับ 2 ที่มีค่าใช้จ่ายทางด้านการวิจัยมากที่สุด (R & D Expenditures) และเมื่อปี 2006 ได้มีการลงทุนการวิจัยด้าน Life Science เป็นเงิน 178 ล้านเหรียญฯ

ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐมิชิแกน
  สาขาเศรษฐกิจใหม่          อันดับ         คะแนน
1. Knowledge Job           44           5.64
2. Globalization           18           9.58
3. Economic Dynamism       29           8.65
4. Digital Economy         42           7.45
5. Innovation Capacity     44           4.61
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ