มลรัฐมินเนโซต้า (Minnesota)

ข่าวเศรษฐกิจ Friday April 2, 2010 15:22 —กรมส่งเสริมการส่งออก

มูลภัณฑ์ประชาชาติของรัฐมินเนโซต้ามีมูลค่า 225.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551 หรือคิดเป็นร้อยละ 1.95 ของมูลภัณฑ์ประชาชาติรวมของสหรัฐ

รัฐมินเนโซ้าส่งออกสินค้ารวมเป็นมูลค่า 19.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากเป็นอันดับที่ 21 ของสหรัฐฯ สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ Medical Parts & Equipments, Auto Parts, Electronics & Computer Parts, Soy Bean Products, Corn

การส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรเป็นมูลค่า 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากเป็นอันดับที่ 7 ของสหรัฐฯ สินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ Soy Bean Products, Meat, Feed Grains, Wheat Products รัฐมินเนโซต้ามีผลผลิตถั่วเหลืองมากเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศสหรัฐฯ และมีผลผลิตข้าวโพดมากเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศสหรัฐฯ

เศรษฐกิจรูปแบบใหม่กับรัฐมินเนโซต้า “Minnesota 2020” รัฐมินเนโซต้าเป็นรัฐที่ให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจรูปแบบใหม่มากที่สุดในกลุ่มของมลรัฐในเขตตอนกลางของประเทศ และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 14 ด้านเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของสหรัฐฯ ได้สูงที่สุดของเขตตอนกลางของสหรัฐฯ

1. เทคโนโลยี:

1.1 Medical Technology & Device

1.2 Bio Science Technology (Center for NANO Technology, Center for Device Engineering และ Center for Bio Mass

1.3 จำนวนผู้ประกอบการสนันสนุนด้าน Technology

  • Technology Company 2,500 บริษัท
  • Information Technology 1,300 บริษัท
  • Information Technology 850 บริษัท
  • Life Science & Medical 300 บริษัท
2. Bio Fuels:

2.1 รัฐมินเนโซต้ามีโรงงานผลิต Bio Fuels 24 แห่ง มากเป็นอันดับที่ 2 ของสหรัฐฯ

2.2 Wind Powerl ผลิตกระแสไฟฟ้าได้จำนวน 2,000 เมกาวัตต์ ซึ่งใช้ได้ถึง 450,000 หลังคาเรือน หรือประมาณ ร้อยละ 7 ของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในรัฐ และรัฐมินเนโซต้ามีการลงทุนในการติดตั้ง Wind Power สูงเป็นอันดับที่ 4 ของสหรัฐฯ

2.3 Bio Mass: ผลิตกระแสไฟฟ้าจากมวลชีวภาพ สารอินทรีย์ ช่น เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร มูลสัตว์ หรือ กากจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม และนำมาใช้ผลิตพลังงาน

ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐมินเนโซต้า
สาขาเศรษฐกิจใหม่           อันดับ           คะแนน
1. Knowledge Job            8           13.68
2. Globalization           33            8.63
3. Economic Dynamism       13           10.91
4. Digital Economy         29            9.58
5. Innovation Capacity     17            10.21
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation


มลรัฐมิสซูรี่ (Missouri)
          รากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมที่สำคัญของรัฐมิสซูรี มาจากเกษตรกรรม ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี ซึ่งเป็นรัฐที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ที่ผลิตถั่วเหลืองมากที่สุด และเลี้ยงปศุสัตว์ (วัว หมู) ผลิตภัณฑ์นม เป็นรัฐอันดับสองรองจากรัฐเท็กซัสที่มีจำนวนฟาร์มมากกว่า 100,000 แห่ง และเป็นรัฐที่ติดอันดับในการผลิตตะกั่ว (Lead) ถ่านหิน หินปูน (limestone) Zinc และ ซีเมนต์
          นอกจากนี้ เศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐมิสซูรี่ ได้แก่ การผลิตอุปกรณ์ยานอวกาศ(Aerospace) และการคมนาคมขนส่ง เครื่องจักร เมือง St. Louis เป็นศูนย์กลางการผลิต Fabricated metals และเคมีภัณฑ์ เมือง Kansas City เป็นเมืองด้านการค้าปศุสัตว์ และข้าวสาลี และ Vending Machines และอุตสาหกรรมรถยนต์ รถบรรทุก เศรษฐกิจส่วนหนึ่งของรัฐได้จากการท่องเที่ยวการสร้างเศรษฐกิจแนวใหม่ของรัฐมิสซูรี่ มุ่งเน้นภาคอุตสาหกรรม ดังนี้
          1. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ โดยเฉพาะด้าน Biotechnology และ Life Science โดยหน่วยงานของรัฐฯ Missouri Science and Innovation Reinvestment Act (MOSIRA) ให้เงินสนับสนุนบริษัทดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่สมัยใหม่ และมี หน่วยงาน Missouri Technology Corporation (MTC) คอยกำกับดูแล
          2. Software Industry เป็นอุตสาหกรรมที่มีการว่าจ้างงานมากกว่า 2,200 ตำแหน่ง
          3. Electric Vehicles โรงงาน Smith Electric Vehicles ที่เมือง Kansas City ลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภท Zero -Emission เป็นเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีการว่าจ้างงาน 200 ตำแหน่ง

รัฐเนบราสก้า (Nebraska)
          รากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมที่สำคัญของรัฐเนบราสก้า มาจากเกษตรกรรม และกสิกรรมการทำไร่ปศุสัตว์และไร่ข้าวโพด เป็นหลัก รัฐมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม รัฐเนเบรสกาเป็นรัฐที่มีอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นอันดับต้นของประเทศ อุตสาหกรรมหลัก
          การสร้างเศรษฐกิจแนวใหม่ของรัฐรัฐเนบราสก้า ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐ และมีสัดส่วนมากที่สุดของรัฐเนบราสก้า ในศตวรรษที่ 21 ได้แก่
          1. การเกษตรและการผลิตอาหาร ผลิตผลทางการเกษตรที่โดดเด่นของรัฐเนบราสก้าได้แก่ วัว หมู ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่บริษัท บริษัทสาขา ConAgra Foods ผลิตอาหารบรรจุห่อ/จำหน่ายให้กับร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และผู้ให้บริการด้านอาหารประเภทต่างๆ ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ตลอดจนอุตสาหกรรมที่พัฒนาต่อเนื่องจากการปลูกข้าวโพด คือ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันเบนซินแบบ E-85
          2. การเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ (Logistics) โดยเฉพาะด้านการขนส่งสินค้าโดยรถไฟและรถบรรทุก เนื่องจากตั้งอยู่จุดกลางประเทศสหรัฐฯ มีทางหลวงสายสำคัญตัดผ่านจึงเป็นจุดเชื่อมโยงและเป็นศูนย์การคมนาคมไปยังรัฐอื่นๆ ในสหรัฐฯ ได้สะดวกรวดเร็ว มีการจัดตั้งเขต Foreign Trade Zone ให้บริการด้านคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าปลอดภาษีสำหรับบริษัทต่างชาติ และเป็นที่ตั้งของ Union Pacific Railroads บริษัทการเดินรถไฟที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯ
          3. การเงินและการประกันภัย เป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ
          - บริษัท Berkshire Hathaway บริษัทประกันภัยและการลงทุนในกิจการขนาดยักษ์ต่างๆ ทั่วประเทศ บริษัทเครือข่ายของ Berkshire Hathaway 4 บริษัท ซึ่งมีชื่อเสียง/เป็นที่นิยมของประชากรทั่วประเทศสหรัฐฯ อันได้แก่ บริษัท Government Employees Insurance Company (GEICO) บริษัท Nederlandse
Reassurantie Group (NRG)
          - บริษัท Mutual Omaha บริษัทประกันภัย
          - บริษัท Ameritas Life Insurance Company
          - บรรษัทการเงิน TD AMERITRADE Holding Corporation
          - บริษัท Paypal การทำธุรกรรมระบบการชำระเงินออนไลน์ที่มีคนนิยมใช้มากที่สุดในโลก
          3. เทคโนโลยี่ข้อมูลข่าวสาร (Information Technology) การสื่อสารโทรคมนาคมรัฐเนบราสก้าเป็นที่ตั้งของบริษัทด้านข้อมูล ข่าวสาร สถิติ การสำรวจ วิจัย
          - บริษัท Infogroup หรือ Infousa.com ที่ให้บริการข้อมูลแก่ภาคธุรกิจผู้บริโภคและบริการช่วยเหลือแก้ไข (Marketing Solutions)
          - บริษัท GALLUP POLL บริษัทประเมิน และหยั่งเสียงประชามติ ในประเด็นปัญหาต่างๆ ทั้งด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงในทัศนคติ หรือท่าทีของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศ ซึ่งสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ในโลกประสบอยู่ในเวลานั้นๆ ด้วยความรวดเร็วฉับไวเที่ยงตรง
          - บริษัท West Corporation ให้บริการด้านการเชื่อมต่อข้อมูล ระบบตอบรับอัตโนมัติ การประชุมทางไกลทางโทรศัพท์และอินเตอร์เนต การให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาด้านธุรกิจ เครือข่ายของบริษัท รวมถึงบริษัท Tel Mark Sales, Inc บริษัท Dakota Direct II, LLC บริษัท Attention, LLC และบริษัท Intercall

     ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐเนบร้าสก้า
สาขาเศรษฐกิจใหม่              อันดับ          คะแนน
1. Knowledge Job             21           9.24
2. Globalization             46           4.28
3. Economic Dynamism          6           12.5
4. Digital Economy           30           9.49
5. Innovation Capacity       36           5.94
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation


มลรัฐนอร์ทดาโกต้า (North Dakota)
          อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ได้แก่ ถ่านหิน แร่ต่างๆ และ น้ำมันดิบ เป็นแหล่งรายได้ของรัฐนอร์ธ ดาโกต้า และภาคเกษตรกรรมเป็นอันดับที่รองลงไป
          1. ภาคเกษตรกรรมมีการจ้างงานประมาณร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรของรัฐ
          2. ผลผลิตเกษตรกรรมที่สำคัญ ได้แก่ ปศุสัตว์ และ ธัญญพืช เช่น ข้าว Barley (มีผลผลิตมากที่สุดของสหรัฐฯ) เมล็ดทานตะวัน และ ข้าวสาลีฤดูใบไม้
          3. รัฐนอร์ทดาโก้ต้ามีลิกไนต์จำนวนมากที่สุดของสหรัฐฯ การผลักดันเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐนอร์ทดาโกต้า มุ่ง 3 สาขา คือ
              1. พลังงานลม (Wild Energy) : ปัจจุบัน รัฐนอร์ทดาโกต้า ติดตั้งกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าได้จำนวน 1,203 เมกาวัตต์ และจัดว่าเป็นมลรัฐที่มีลู่ทางแจ่มใสในการขยายตัวของอุตสาหกรรมนี้
              2. อุตสหกรรมคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ (Computer Software & Information Technology) ซึ่งตั้งอยู่ในเขต Fargo Tioga

มลรัฐรัฐโอไฮโอ
          รากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมของรัฐโอไฮโอมาจาก น้ำมันและแก๊สธรรามชาติ ถ่านหินเคยได้ชื่อว่า เป็นผู้นำการผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งของโลกตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 มาแล้ว และการเกษตร ปศุสัตว์ ใช้พื้นที่มากกว่าครึ่งของรัฐฯ พืชเศษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวโพดและมะเขือเทศ ซึ่งมีผู้ปลูกมะเขือเทศมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศ และมีโรงงานผลิตซ็อสมะเขือเทศ ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ที่เมือง Fremont , Ohio
          ปัจจุบัน พื้นฐานเศรษฐกิจของรัฐโอไฮโอกำลังเปลี่ยนรูปไป อุตสาหกรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องทาง การเกษตรเริ่มชลอตัวลงภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆที่เกิดขึ้นและมีแนวโน้มการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้แก่
          1. อุตสาหกรรมยางและพลาสติก รัฐโอไฮโอ ถือว่าเป็นมีผู้ผลิตเป็นอันดับ 1 ของประเทศซึ่งมีมูลค่า 17.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีบริษัทผู้ผลิตสำคัญ ได้แก่ Goodyear Tire & Rubber, Parker Hannifin, Owens-Illinois, Owens Corning, Cooper Tire & Rubber, PolyOne, Ferro Corporation, A. Schulman
          2. อุตสาหกรรมด้าน Food processing ในรัฐโอไฮโอมีมูลค่า 23.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเฉพาะการขนส่งอาหารแช่แข็งมีมูลค่าสูงถึง 2.4 พันล้านเหรัยญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีมูลค่าเพียง 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯเท่านั้น รัฐโอไฮโอ ถือว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศ คิดเป็นร้อยละ 20.7 ของมูลค่าการขนส่งอาหารแช่แข็งในสหรัฐฯ
          3. การกลั่นปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์การผลักดันเศรษฐกิจใหม่ของรัฐโอไฮโอ
          ในระยะเวลาที่ผ่าน การผลักดันเศรษฐกิจใหม่ของรัฐโอไฮโอติดอันดับที่ 30 ของสหรัฐฯ ซึ่งนับว่ายังดำเนินการน้อยมาก แต่ปัจจุบัน รัฐโอไฮโอหันมาผลักดันเศรษฐกิจรูปแบบใหม่มากขึ้นเป็นลำดับ สาขาที่ดำเนินการ ได้แก่
          1. อุตสาหกรรมด้าน Bioscience มีอัตราการขยายตัวมากที่สุดในเขตตอนกลางของประเทศ ซึ่งรวมไปถึง Healthcare, FDA-certified to manufacture medical, ตั้งอยู่ในเขต Cincinnati, Whitehouse, Cleveland, Akron, Highland Heights
          2. อุตสาหกรรมด้านพลังงานเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม (Green Power) ได้แก่
             2.1 พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ตั้งอยู่ในเขต Toledo, Dayton และ Perrysburg
             2.2 พลังงานจากลม (Wind Energy) ตั้งอยู่ในเขต Grover Hill และ Champaign
             2.3 พลังงานจากน้ำ (Hydroelectric) ตั้งอยู่ในเขต Columbus
          3. อุตสาหกรรมด้านอากาศยานและการป้องกันประเทศ ตั้งอยู่ในเขตเมือง Evendale และ เมืองAkron

มลรัฐโอคลาโฮมา
          รากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมที่สำคัญของรัฐโอคลาโฮมา มาจากการเกษตร การปศุสัตว์ การทำไร่ฝ้าย การทำป่าไม้ และเหมืองแร่ และเริ่มในศตวรรตที่ 19 แม้ยังคงเน้นการเกษตรกรรมเป็นหลัก (ข้าวสาลี) แต่ประชากรของรัฐโอคลาโฮมาเริ่มให้ความสำคัญด้านการค้าขายและให้บริการโดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น อุตสาหกรรมขุด/เจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ อุตสาหกรรมโรงงานฆ่าสัตว์ และ อุตสาหรรมปั่นฝ้าย
          การสร้างเศรษฐกิจแนวใหม่ของรัฐโอคลาโฮมา ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของรัฐ ในศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมหลักเหล่านี้ ได้แก่
          1. การกลั่นปิโตรเลียมและการผลิตเคมีภัณฑ์ โดยโอกลาโฮมาเป็นรัฐ ที่ตั้งของกลุ่มบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เช่น บริษัท Devon Energy Corporation บริษัท Chesapeake Energy Corporation และ บริษัท SandRidge Energy Coraporation โดยมีเมือง Tulsa เป็นศูนย์รวมอย่างหนาแน่น
          2. พลังงานทางเลือกต่างๆ (ก) oil and Gas Production (ข) Electric/Renewable &
Sustainable Energy (ค) Wind Energy (ง) เมือง Tulsa เป็นศูนย์รวม เช่น
          - บริษัท Williams Inc. เป็นบริษัทด้านพลังงานและธุรกิจการสำรวจก๊าซธรรมชาติการผลิตไฟฟ้า การแปรรูปและการขนส่งปิโตรเลียม
          - บริษัท ONEOK Inc ผู้จัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
          - รัฐโอคลาโฮมา เป็นแหล่งรวมของธุรกิจ Wind Energy ในสาขาต่างๆ ทั้งในด้าน
การผลิตชิ้นส่วน อุปกรณ์ เช่น Wind generation, Tower Production, Blade
Construction, Turbine assembly, Regional staging, Turbine component
manufacturing ศูนย์ซ่อมบำรุง ตลอดจนศูนย์ข้อมูลและการวิจัยพัฒนา มีบริษัท
สำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ บริษัท DMI Industries and Bergey Windpower
บริษัท Chermac Energy Group, บริษัท Competitive Power Ventures, บริษัท GE,
บริษัท Horizon Wind Energy NextEra Energy (formerly FPL Energy), บริษัท
Renewable Energy Systems, บริษัท Trade Wind Energy, บริษัท Wind Energy
Prototypes
          3. อุตสาหกรรมอากาศยาน ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ และเป็นฐานบินของสายการบิน American Airline ในพื้นที่ เมือง Tulsa และเป็นที่ตั้งของ The hub of the Airborne Warning and Control System (AWACS) ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ
          4. เทคโนโลยี่ก้าวหน้าและระบบการผลิตที่ใช้เทคโนโลยี่ก้าวหน้า (ก) Biotechnology (ข) Telecommunication (ค) Bioscience and Technology /Research (ง) Mechanical Air Conditioning (จ) Logistics โดยรัฐโอคลาโฮมาเป็นรัฐอันดับต้นๆ ของสหรัฐฯ ที่มีการขยายตัวแบบก้าวกระโดดในด้าน Biotechnology
          5. แหล่งอุตสาหกรรมการผลิตยางรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยมีบริษัทผู้ผลิตชั้นนำในสหรัฐฯ รวมตัวอยู่หนาแน่นเช่น บริษัท Goodyear บริษัท Michelin North America บริษัท Dayton


       ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของโอกลาโฮม่า
สาขาเศรษฐกิจใหม่                     อันดับ          คะแนน
1. Knowledge Job                     39           6.17
2. Globalization                     47           7.19
3. Economic Dynamism                 19           9.94
4. Digital Economy                   44           6.99
5. Innovation Capacity               42           4.73
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation

รัฐเซาท์ดาโกต้า
          รากฐานเศรษฐกิจดั้งเดิมที่สำคัญของรัฐเซาท์ดาโกต้า มาจากปศุสัตว์ (วัว ไก่ หมู แกะ ห่าน ไข่ไก่ และ นม) การผลิตขนแกะ การเกษตรกรรม (ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ท ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง เมล็ดทานตะวัน , Flaxseed) การทำเหมืองแร่ , Granite, Clay หินปูน รัฐเซาท์ดาโกต้า มีชื่อเสียงทางด้านการผลิตทองคำในแถบ Black Hills
          ปัจจุบัน ภาคบริการ (Services) เป็นที่มาของรายได้อันดับหนึ่งต่อเศรษฐกิจของรัฐเซาท์ดาโกตา เช่น บริษัทประกันภัย บริษัทการเงิน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และด้าน บริการรักษาสุขภาพ (Health Care Services) ภาคการผลิต (Manufacturing) มีความสำคัญเป็นอันดับรองลงไปอุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญของรัฐได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป การหีบห่อเนื้อสัตว์(Meatpacking) เครื่องใช้ไฟฟ้า และ ภาคธุรกิจการค้าส่ง-ปลีก
          การท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้อันดับที่สาม เมือง Sioux Falls และ Rapid City เป็นแหล่งการท่องเที่ยว อุทยาน Mt. Rushmore และ Black Hills มีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละไม่ต่ำกว่า1 ล้านคน นอกจากนั้น บ่อนคาสิโนที่ทำรายได้เข้ารัฐอีกด้วย
          ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐฯ รัฐเซ้าท์ดาโกด้าได้รับผลกระทบน้อยมาก จะเห็นจากมีอัตราการว่างงานต่ำเพียงร้อยละ 4.8 เศรษฐกิจของรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมั่นคง มีประชากรประมาณ 8 แสนคน หรือมากเป็นอันดับที่ 46 จากจำนวนรัฐทั้งหมด 50 มลรัฐ
          เศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ของรัฐเซาท์ดาโกต้า ดัชนีการวางแผนและดำเนินการสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐเซ้าท์ดาโกด้า อยู่ในระดับต่ำ หรือเป็นอันดับที่ 44 ของสหรัฐฯ แผนการเศรษฐกิจแนวใหม่ ที่สำคัญ ได้แก่
          1. การส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจใหม่ๆ
          2. การผลักดันพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ได้แก่ Ethanol, Biodiesel Fuel และ Wind Energy
          3. การจัดตั้งศูนย์การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี่ด้าน Nanotechnology Center, Homestake Conversion Lab Project
          4. การพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาชุมชน การส่งเสริมวัฒนธรรม ศิลปะของรัฐฯ และความร่วมมือกับคนพื้นเมือง (อินเดียแดง)

รัฐวิสคอนซิน (Winconsin)
          มลรัฐวิสคอนซินมีพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นเกษตรกรรม โดยเฉพาะสาขา นม เนย และเนยแข็ง ซึ่งผลิตมากเป็นอันดับที่สองของสหรัฐฯ ผลผลิตทางเกษตรกรรมที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวโพด ถั่วเหลือ มันฝรั่ง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต โสม และ ปศุสัตว์ (แกะ และ โค) ผลผลิตทางเกษตรรวมกันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551
          ในปี 2551 มูลภัณฑ์ประชาชาติของรัฐวิสคอนซินมีมูลค่า 240.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 31 ของสหรัฐฯ รายได้ประชากรต่อตัว (Per Capita Income) เป็นจำนวน 38,244 เหรียญสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับที่ 24 ของสหรัฐฯ
          อุตสาหกรรมที่สำคัญและมีชื่อเสียงของรัฐวิสคอนซิน คือ การผลิตรถมอร์เตอร์ไซด์ยี่ห้อ Harley Davidson ซึ่งเป็นมอร์เตอร์ไซด์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของโลก อุตสาหกรรมอื่นที่สำคัญ ได้แก่ Food Processing, Metal Fabrication, และ Beer (Miller Beer & Milwaukee Beer)
          รัฐวิสคอนซินได้รับจัดอันดับที่ 34 ในการผลักดันเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า รัฐวิสคอนซินยังไม่ทุ่มเทการสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ให้มาเป็นพื้นฐานเศรษฐกิจของรัฐในอนาคต ปัจจุบัน การผลักดันเศรษฐกิจใหม่ มุ่งในเรื่อง Renewable Energy, Green Car และ Information Technology
          1. Renewable Energy: ได้แก่ Bio Fuel, Bio Mass และ Wind Power
             1.1 จัดตั้ง Energy Center of Wisconsin เพื่อศึกษา ค้นคว้า และ ให้ความรู้
             1.2 Bio Fuels: รัฐวิสคอนซินมีโรงงานผลิต Ethanol จำรวน 8 โรงงาน และมีผลผลิตประมาณ 2.5 ล้านแกลลอน
             1.3 Wind Power: ปัจจุบันมีฐานผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมจำนวน 9 แห่งในรัฐ หรือมีจำนวนกังหันลม 306 ตัว และผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 500 เมกกะวัตต์
          2. Green Car:
             2.1 General Motor จะผลิตรถยนต์ Hybrid ขึ้นที่เมือง Janesville และ
             2.2 บริษัท Chrysler จะผลิตรถยนต์ Hybrid ขึ้นที่โรงงานที่เมือง Kenosha
          3. Information Technology: รัฐวิสคอนซินผลัดกันในด้าน Information technology ในสาขา E-government, และ Health Information ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐวิสคอนซิน


      ผลการดำเนินการเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของรัฐวิสคอนซิน
สาขาเศรษฐกิจใหม่                  อันดับ        คะแนน
1. Knowledge Job                 25         8.67
2. Globalization                 41         8.18
3. Economic Dynamism             38         7.50
4. Digital Economy               26         6.92
5. Innovation Capacity           32         6.74
ที่มา: The Information Technology and Innovation Foundation


          สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก

          ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ