จะจีบสาวแขกต้องรู้จักเอาใจสาว ส่วนใครจะจีบหนุ่มแขกก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าจะจีบหนุ่ม-สาวแขกมาเป็นลูกค้าละก็ เชิญมาทางนี้เลย ปัจจุบันประชากรราว 50% ของคนอินเดียเป็นคนที่อายุน้อยกว่า 25 ปี (ประมาณ 500 ล้านคน) เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีผู้ส่งออกไทยควรให้ความสนใจไม่น้อย อันเนื่องมากจากปริมาณที่มากจึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของครัวเรือนที่สูงขึ้น อีกทั้งคนรุ่นใหม่นิยมทำงานกับบริษัทซ้อฟแวร์ BPO และคอลเซนเตอร์ที่มีรายได้ดีและร่ำรวยได้ในเวลาที่รวดเร็ว นอกจากนั้นสังคมอินเดียยังมีความเป็นสังคมเมืองมากขึ้น โดยจะเพิ่มจากระดับ 28% เป็น 40% ของประชากรทั้งหมดภายในปี 2563
- ทุกคนมีการศึกษา ส่วนใหญ่จบปริญญาตรี และนิยมเรียนต่อปริญญาโทกันมากขึ้น กลุ่มที่จบปริญญา ตรี-โทจะมีมากในภาคใต้ ในขณะที่ภาคตะวันตกจะน้อยกว่า โดยกว่า 50% จบแค่ ม. ปลาย สาเหตุเนื่องจากแหล่งงานรายได้ดีจะอยู่ทางภาคใต้มากกว่าภาคอื่นๆ โดยเฉพาะเมือง เจนไน บังกะลอร์ และไฮเดอราบัด ซึ่งเป็นเมืองไอทีสุดฮอตของอินเดีย แนวโน้มผู้บริโภคกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้ามากขึ้นกว่าในอดีตที่เน้นเรื่องราคาเป็นหลัก
- อาชีพ ครึ่งหนึ่งยังอยู่ในวัยเรียน เมื่อเข้าทำงานแล้ว จะมีสัดส่วนของเพศชายมากกว่า สำหรับการว่างงาน เพศหญิงจะมีมากกว่าเพศชาย เนื่องจากค่านิยมอินเดียยังให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่า และฝ่ายหญิงยังนิยมเป็นแม่บ้านอย่างเดียวเมื่อแต่งงานแล้ว
- งานยอดนิยม คนรุ่นใหม่นิยมทำงานด้าน IT โดยเฉพาะในภาคใต้ (เจนไน บังกะลอร์ ไฮเดอราบัด ฯลฯ) ส่วนคนรุ่นใหม่ภาคเหนือนิยมทำงานด้าย Telecom สำหรับงานเกี่ยวกับนำเข้า-ส่งออกจะเป็นที่นิยมในภาคตะวันตกมากกว่าภาคอื่นๆ งานเหล่านี้รายได้ดีทำให้คนอินเดียรุ่นใหม่มีกำลังซื้อสูงขึ้นมากกว่าในอดีต เช่น ในอดีตคนอินเดียต้องทำงานทั้งชีวิตจึงจะมีเงินเก็บเพื่อซื้อบ้าน แต่คนรุ่นใหม่ปัจจุบันทำงานเพียง 1-2 ปีก็เริ่มมีเงินผ่อนบ้านแล้ว
- ตำแหน่งงานของคนรุ่นใหม่ปัจจุบัน
1) ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำงานในองค์กร เช่น เป็น เสมียน พนักงานขาย เจ้าของร้าน ข้าราชการระดับล่าง หรือหัวหน้างาน
2) คนรุ่นใหม่ในภาคใต้และตะวันออกเป็นเจ้าของร้านน้อยกว่าภาคอื่น คนใต้จำนวนมากยังนิยมรับราชการ สำหรับภาคอื่นๆ มีคนจำนวนมากนิยมเป็นพนักงานขาย
3) กว่าครึ่งหนึ่งของคนรุ่นใหม่วัยทำงานยังอยู่ในตำแหน่งงานระดับปฏิบัติ (66 %)
- สถานภาพสมรส ส่วนใหญ่จะแต่งงานเมื่ออายุ 21-25 ปี การแต่งงานมักจะมีพ่อ-แม่เป็นผู้จับคู่ให้ และการแต่งงานต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ บางคนนิยมมาแต่งเมืองไทยเนื่องจากราคาย่อมเยากว่ามาก คู่ที่แต่งงาน 67% มีบุตร 1-2 คน โดยนิยมมีบุตรในช่วงวัย 20-25 ปี (65%) ขณะที่กลุ่มอายุ 16-20 ปีนิยมมีบุตรในสัดส่วนที่น้อยกว่า (35%) โดยรวมคนอินเดียนิยมมีบุตรเมื่ออายุยังน้อย
- ครัวเรือนอินเดียยุคใหม่
1) มีแนวโน้มนิยมมีลูกคนเดียว (60%) และในภาคตะวันออกมีสูงถึง 70% ส่วนในภาคเหนือกลับนิยมมีลูก 2 คนหรือมากกว่า (49%) เมื่อมีลูกน้อย ครัวเรือนจึงหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของใช้และของเล่นเด็กมากขึ้น ในแต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่ 30 ล้านคน เป็นช่องทางที่น่าสนใจสำหรับสินค้าเกี่ยวข้องกับเด็ก นอกจากนั้น คนอินเดียมีแนวโน้มประชากรชายมากกว่าหญิงเพิ่มขึ้น ตลาดชายโสดจึงเป็นอีกตลาดหนึ่งที่น่าจับตามอง เช่น สินค้าและบริการเกี่ยวกับ Health Tourism, Adventure tourism และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และการแต่งกาย เป็นต้น
2) ส่วนใหญ่พ่อบ้านจะเป็นผู้หารายได้เลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว แต่ในภาคตะวันตก เช่น มุมไบกว่า 50 % จะมี 2 คนหรือมากกว่า 2 คนที่หารายได้เข้าบ้าน เนื่องจากมุมไบเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 1 ของอินเดียและค่าครองชีพสูง
3) ส่วนใหญ่ยังเป็นครอบครัวขยาย และมีคนชราอยู่ด้วย ในภาคเหนือครอบครัวจะมีคนชราอยู่ในบ้านมากกว่าทางใต้ ในภาคตะวันตกมักจะพบหลายครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันมากกว่าภาคอื่น เช่น ผู้มีฐานะดีจะสร้างอาคารขนาดใหญ่ที่คนทั้งตระกูลจะสามารถอยู่รวมกันได้ พฤติการการชื้อสินค้าจะนิยมซื้อปริมาณมากในแต่ละครั้งเนื่องจากมีสมาชิกในครอบครัวมาก การส่งเสริมการขายแบบ Buy one get one จึงนิยมใช้บ่อยครั้ง
4) รายได้ครัวเรือนเฉลี่ย 8,000-20,000 รูปีต่อเดือน
5) นักเรียนส่วนใหญ่ (92%) ได้เงินจากพ่อ-แม่สัปดาห์ละ 250-1,000 รูปี ในภาคใต้และภาคตะวันออกมีรายได้ประมาณ 100-500 รูปี ส่วนในภาคเหนือมีรายได้มากกว่า 500 รูปี เด็กที่อายุมากขึ้นมีแนวโน้มได้รับเงินเพิ่มขึ้น ดังนั้นพฤติกรรมการบริโภคจึงยังคงจำกัดอยู่กับสิ่งจำเป็นมากกว่าสิ่งฟุ่มเฟือย
6) แม่บ้านบางคน (9%) ทำงานนอกบ้าน ส่วนใหญ่ทำงานเต็มเวลา ยกเว้นในภาคตะวันตกนิยมทำงาน part time
- การใช้จ่ายเงินของคนรุ่นใหม่ —เด็กและเด็กวัยรุ่นอินเดียส่วนใหญ่ได้รับการอบรมมาดีเรื่องคุณค่าของเงินและการใช้เงินอย่างคุ้มค่า พ่อ-แม่ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของเด็กอินเดียเช่นเดียวกับในอดีต โดยเฉลี่ยเด็กอินเดียใช้เงินจากพ่อ-แม่ประมาณสัปดาห์ละ 250-1000 รูปี ในจำนวนนี้ 70% จะถูกใช้ไปกับค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างไรก็ตามวัยรุ่นประมาณ 30% แสวงหางานพิเศษทำเพื่อความเป็นอิสระทางการเงินเนื่องจากมีกิจกรรมทางสังคมที่ต้องการทำมากขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ เด็กในภาคตะวันตก เช่น มุมไบจะใช้เงินเก่งกว่าภาคอื่น ขณะที่เด็กในภาคตะวันออกจะค่อนข้างประหยัดกว่า ส่วนเด็กวัยรุ่นที่อายุมากจะมีแนวโน้มใช้เงินมากกว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า
- ค่านิยมเปลี่ยนไป — ในอดีตของสามสิ่ง ได้แก่ โรตี เสื้อผ้า และบ้าน (Roti, Kapda aur Manan) ก็เพียงพอสำหรับวัยรุ่น แต่ปัจจุบันนิยามใหม่ของชีวิตวัยรุ่นจะเป็นเสื้อผ้า ไอพอต และมือถือ (Kapda, Ipod & Cellphone) ซึ่งเป็นเรื่องปกติเมื่อประเทศมีการพัฒนามากขึ้นความต้องการสิ่งฟุ่มเฟือยก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การใช้จ่ายของวัยรุ่นอินเดียส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และมือถือความเท่ที่ขาดไม่ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ 5 ของวัยรุ่นปัจจุบัน
เด็กผู้ชายดูจะพิถีพิถันกับการแต่งตัวมากกว่าเด็กผู้หญิงและมีค่าใช้จ่ายมากกว่าด้วย สำหรับเด็กผู้หญิงชุดส่าหรีและปัญจาบียังเป็นชุดยอดฮิต ที่ทั้งประหยัด สารพัดประโยชน์ ใส่ได้ทุกโอกาส และไม่ต้องรีด เด็กผู้ชายให้ความสำคัญเรื่องแบรนด์มากกว่าเด็กผู้หญิง สินค้าเสื้อผ้าจากต่างประเทศทำตลาดได้ยากในตลาดอินเดีย เนื่องจากอินเดียเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้ารายใหญ่ อีกทั้งผู้บริโภคอินเดียยังให้ความสำคัญเรื่องแบรนด์ไม่มาก สำหรับโรคติดมือถือเด็กชายดูจะอาการหนักกว่าเด็กผู้หญิง
ในด้านความบันเทิงเด็กหญิงนิยมออกไปดูหนังกับเพื่อนๆ มากกว่าเด็กชายขณะที่เด็กผู้ชายจะนิยมเล่นวีดีโอเกมส์มากกว่า สำหรับบัตรเครดิตเด็กอินเดียยังมีการใช้น้อย เนื่องจากพ่อ-แม่ยังเห็นเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยสำหรับเด็ก
- ด้านสุขภาพและความงาม ร้านเสริมสวย แฮร์ดู และสปา มีโอกาสในตลาดอินเดีย ค่าทำผมครั้งละ 1,000 รูปีขึ้นไป ส่วนนวดสปาครั้งละ 2,500 รูปีขึ้นไป แต่ธุรกิจเหล่านี้จำกัดอยู่เฉพาะหัวเมืองใหญ่เช่น เจนไน นิวเดลี มุมไบ และ บังกะลอร์ เนื่องจากผู้บริโภคมีกำลังซื้อ เป็นที่น่าสังเกตุว่าในเมืองเหล่านี้มีซาลอนระดับโลก เช่น พีวอท พอยท์ไปเปิดสาขาแล้ว ดังนั้นธุรกิจด้านสุขภาพและความงามของไทยไม่ควรมองข้ามตลาดที่มีศักยภาพสูงอย่างอินเดีย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าต้องมีรายได้พอสมควร เช่นวัยรุ่นตอนปลายหรือผู้ใหญ่ที่มีรายได้สูงพอควร
- การเดินทาง — ปัจจุบันเด็กอายุต่ำกว่า 25 ปีมีใบขับขีเพียง 2% ดังนั้น การเดินทางยอดนิยมก็คือรถประจำทาง/รถไฟฟ้า และเมื่อถามว่าหากมีเงินอยากได้อะไร ส่วนใหญ่จะตอบว่าจักรยาน หรือมอเตอร์ไซค์ ส่วนรถยนต์ยังไม่อยู่ในความคิดของเด็กอินเดีย เด็กหญิงนิยมรถประจำทาง/รถไฟฟ้ามากกว่าเด็กชาย ขณะที่เด็กชายหากเลือกได้จะใช้จักรยานและมอเตอร์ไซค์มากกว่า อนึ่ง รถสกูตเตอร์และจักรยานไฟฟ้ามีการเติบโตที่สูงอย่างน่าประทับใจในปี 2552 โดยมีการขยายตัว 8 % และ 38% ตามลำดับ แม้ว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดไม่มากที่ระดับ 14 %และ 1% ตามลำดับของตลาดรถ 2 ล้อก็ตาม นับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผู้ส่งออกไทยน่าจะไปทดสอบตลาด
- สถานบันเทิง — มีโรงภาพยนต์เป็นแหล่งบันเทิงหลักของคนรุ่นใหม่ โดยโรงภาพยนต์แบบมัลติเพล็กกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นโดยมีการเจริญเติบโตถึงปีละ 25% ทั้งนี้เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ของไทยได้เข้าไปทำตลาดแล้วโดยเป็นธุรกิจมัลติเพล็กซ์ผสมเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ครบวงจร ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นของใหม่
คนรุ่นใหม่ภาคเหนือกินนอกบ้านน้อยกว่าทางใต้ เกือบ 70% นิยมอาหารจานด่วน ดังนั้นแฟรนด์ไชส์ร้านอาหารไทยจานด่วนมีโอกาสเกิดได้ในตลาดคนรุ่นใหม่อินเดีย แต่ราคาไม่ควรแพงนัก โดยอาจใช้ทำเลในศูนย์อาหาร และลดต้นทุนการผลิตโดยใช้ผงปรุงสำเร็จรูปอาหารไทยแทนการจ้างแม่ครัวจากเมืองไทย ส่วนรสชาตต้องลดความเผ็ดลงพร้อมทั้งผสมกลิ่นไอแขกลงไปด้วยเช่น เติมผงมาสซาล่าลงไปด้วยเล็กน้อย มีเพียง 12% ไม่เคยทานอาหารจานด่วนเลย ส่วนอีก 9% พยายามหลีกเลี่ยง เด็กผู้หญิงชอบไปกับครอบครัว ส่วนเด็กผู้ชายชอบไปกับเพื่อนมากกว่า
เด็กเหนือนิยมพิซซามากที่สุด สาเหตุมาจากอินเดียเหนือได้รับอิทธิพลอาหรับมาตั้งแต่สมัยโมกุลเรืองอำนาจ ส่วนเด็กใต้ชอบอาหารปักษ์ใต้มากกว่า นอกจากนั้นเด็กใต้ยังชอบอาหารที่หนักท้องเข้าไว้ เช่น ข้าวหมกไก่ และซาโมซา ส่วนอาหารจีนเป็นที่นิยมหารับประทานได้ทั่วไปในอินเดีย แต่ในภาคตะวันออกดูจะเป็นที่นิยมมากกว่าเป็นพิเศษ เนื่องจากเมืองกัลกัตตามีไชนาทาวน์ตั้งอยู่ จากการสำรวจในตลาดโดยทั่วไปพบว่ามีผงปรุงอาหารจีนสำเร็จรูปตราคนอร์วางจำหน่ายอยู่หลายชนิด เช่น ผัดเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดผงกระหรี่ ผัดเปรี้ยวหวานพริก บะหมีสำเร็จรูป ผัดแมนจูเรีย ซุปเต้าหู้ ซุปมะเขือเทศ และข้าวหมกไก่ ดังนั้นผงปรุงรสของไทยในกลุ่มเดียวกันน่าจะมีโอกาสในตลาดนี้ สำหรับอาหารจานด่วนแบบ Chat,Vada pav เป็นที่นิยมในภาคตะวันตกมากกว่าภาคอื่นๆ เด็กอินเดียยังนิยมอาหารเจอยู่มาก แต่ในภาคเหนือและภาคตะวันตกมีแนวโน้มนิยมอาหารจานเนื้อมากขึ้นเนื่องจากการไหลบ่าของวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามากกว่า ส่วนคนที่ไม่เป็นมังฯ ก็อร่อยได้กับทั้งเจและไม่เจได้ทุกเมื่อ
ทัศนของวัยรุ่นต่ออาหารจานด่วน
ไม่เคยรับประทาน 12 11 14 11 14 หลีกเลี่ยงถ้าทำได้ 9 9 9 9 9 ไม่แน่ใจ 11 12 9 11 10 เป็นครั้งเป็นคราว 34 34 33 33 35 รับประทานทุกครั้งที่มีโอกาส 35 34 36 36 33
คนอินเดียส่วนใหญ่มากกว่า 90% นำอาหารกล่องจากบ้านไปกินที่โรงเรียนและที่ทำงาน การรับประทานอาหารนอกบ้านจึงมีบ้างเป็นครั้งเป็นคราวเฉพาะช่วงเย็น เวลาไปดูหนัง หรือช่วงวันเสาร์อาทิตย์เป็นหลัก สวนอาหารมีให้เห็นบ้างแต่ไม่มาก การรับประทานอาหารในภัตาคารมีระดับอย่างอาหารไทยหรืออิตาเลียนจำกัดอยู่เฉพาะผู้มีฐานะดีและคนต่างชาติ
อาหารที่วัยรุ่นนิยมเมื่อรับประทานนอกบ้าน
รวมทั้งประเทศ ภาคเหนือ ใต้ ออก ตก ผลการสำรวจผู้รับประทานนอกบ้าน หน่วย: พันคน 5820 1825 1284 856 1855 Chat (ขนมเจทอด) 6 8 10 8 1 สแนก (มันฝรั่งทอด ,Namkeen-ธัญพืชอบกรอบ, Kurkure ฯลฯ) 2 3 3 2 2 อาหารจีน 16 15 3 35 13 อาหารฝรั่ง 1 1 0 1 2 อาหารอินเดียใต้ 15 10 29 5 13 อาหารอินเดียเหนือ/ปันจาบ 10 9 11 1 15 แม็กซิกัน 0 0- 0- พิซซา 11 19 4 3 14 Mughlai —ไก่ผัดแบบแขก 2 0 0 6 2 อาหารจานด่วน เช่น ซาโมซา (กระหรีพัฟยักษ์), Kachori (ซาละเปาแขก),แฮมเบอร์เกอร์, Vada pav (แฮมเบอร์เกอร์เจ) 17 15 16 13 20 อาหารอิตาลี 0 0 0 1 0 ซีฟูด เช่น ปลา กุ้ง ฯลฯ 1 1 1 1 1 อาหารจานไก่ หรือแพะ 5 5 6 6 5 บิริยานี (ข้าวหมกไก่/แพะ) 6 1 12 16 3 ของหวาน (ไอศคริม มิลค์เชค ขนมหวานๆ 1 1 4 1 0 Vegetarian Thali (อาหารชุดแบบเจ) 7 12 1 1 9 รวม (%) 100 100 100 100 100
เด็กไทยติดเกมส์ แต่เด็กแขกติดทีวี มักจะกินข้าวหน้าจอทีวีเสมอ โดยเด็กประมาณ 80% ต้องมีทีวีไว้ข้างโต๊ะอาหารที่บ้าน ดังนั้นการโฆษณาสินค้าเกี่ยวกับเด็กและวัยรุ่นผ่านสื่อทีวีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด รายการส่วนใหญ่จะเป็นหนังแขกและ รายการสัมภาษณ์ดาราแขก หากเป็นช่วงมหกรรมกีฬาอย่างฤดูแข่งคริกเก็ตช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมของนักเรียนนักศึกษาจะมีการตั้งโทรทัศน์ถ่ายทอดสดการแข่งขันในร้านอาหารเพื่อเอาใจลูกค้าด้วย กิจกรรมอื่นๆ ที่นิยมทำระหว่างดูทีวีรองลงมาได้แก่ พูดโทรศัพท์ ฟังเพลง อ่านหนังสือ และอ่านตำรา ตามลำดับ
การซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตยังถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยและเป็นที่นิยมไม่มาก มีเพียงประมาณ 17% ของเด็กอินเดีย สินค้าที่นิยมซื้อจะเป็น หนังสือ ดอกไม้/ของขวัญ ตั๋วเครื่องบิน/ตั๋วรถไฟ CD/DVD หนัง เพลง และตั๋วหนัง ตามลำดับ
เด็กอินเดียติดโทรทัศน์ขนาดหนักขณะที่เป็นนักอ่านตัวยงเช่นกัน โดย ส่วนใหญ่ 95% ของเด็กอินเดียชอบดูรายการทีวีทุกประเภทไม่ต่ำกว่าวันละ 1 ชั่วโมง ขณะที่ 75% ชอบอ่านหนังสือพิมพ์สม่ำเสมอ ส่วนวิทยุ การบอกปากต่อปาก (Word of mouth) และอินเตอร์เน็ตกลับเป็นสื่อที่เข้าถึงเด็กอินเดียได้น้อย การเลือกใช้สื่อสำหรับตลาดคนรุ่นใหม่จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคกลุ่มนี้
คนรุ่นใหม่อินเดียมีกำลังซื้อสูงและแสวงหาความแปลกใหม่ในสินค้าและบริการ ซึ่งในบางครั้งการผลิตในประเทศในประเทศยังไม่สามารถเติมเต็มความต้องการเหล่านี้ได้ จึงเป็นโอกาสให้กับสินค้าไทยที่จะเข้าไปเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ถึง 500 ล้านคน
นายไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ
ผอ. สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไน
ที่มา: http://www.depthai.go.th