เมื่อวันอังคารที่ 16 มีนาคม 2553 สมาชิกสภาคองเกรสของประเทศสหรัฐอเมริกาจากพรรคเดโมแครทและรีพับลิกันได้ร่วมกันประชุมเพื่อหาแนวทางกดดันประเทศจีนให้เพิ่มค่าเงินหยวนของจีน เนื่องจากจีนมีนโยบายกดค่าเงินหยวนของตนเพื่อให้สามารถส่งออกสินค้าไปประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น ส่งผลในทางลบต่อการจ้างงานภายในประเทศสหรัฐอเมริกา
จากการที่กระทรวงการคลังของสหรัฐไม่มีการบีบบังคับจีนอย่างเป็นทางการใน การกำกับอัตราแลกเปลี่ยนดังนั้น สมาชิกวุฒิสภา 5 ท่านจึงเสนอร่างกฎหมายเพื่อบังคับให้มีการดำเนินการพิสูจน์การกำกับอัตราแลกเปลี่ยนของจีนเพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถนำไปใช้ ในการตอบโต้นโยบายการเงินของจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2553 สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจำนวน 130 ท่าน ได้ร่วมกันส่งจดหมายเรียกร้องให้กระทรวงการคลังเผยแพร่การกำกับค่าเงินของจีน อีกทั้งให้กระทรวงพาณิชย์ออกมาตรการตอบโต้ภาษีสำหรับสินค้าจีนเพื่อปกป้องผู้ผลิตสินค้าของสหรัฐอเมริกา ร่างการเงินฉบับนี้มีเนื้อหาขอให้กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาแจกแจงเกี่ยวกับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่มีการบิดเบือน (Fundamentally misaligned currencies) ให้ชัดเจนโดยร่างฉบับนี้จะบรรจุเหตุผลประการหนึ่งที่สหรัฐฯ ยังไม่ได้อ้างกับจีนในการกำกับค่าเงินหยวนตั้งแต่ปี 2537 คือ จะต้องได้รับการพิสูจน์เจตนาที่ใช้ ถ้ากระทรวงการคลังระบุว่าการบิดเบือนค่าเงินเป็นการกระทำอันดับแรก (for priority action) ที่มีผลต่อการค้าและทำให้ประเทศอื่นเสียเปรียบสหรัฐฯ สามารถดำเนินขั้นตอนต่อเนื่องตามมา รวมทั้งการสอบสวนโดยกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะส่งผลต่อการเก็บภาษีเพื่อตอบโต้การอุดหนุนการส่งออก
Mr.Charles E. Schumer สมาชิกวุฒิสภาจากพรรคเดโมเครทรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า เขาไม่เชื่อว่าประเทศจีนจะเชื่อในเรื่องของการค้าเสรี แต่เชื่อว่าจีนเชื่อในเรื่องของการเป็น Mercantilist เพียงแต่ต้องการเพิ่มพลังทางเศรษฐกิจและทำอะไรก็ตามเพื่อให้ได้สิ่งนั้น
Mr.Tim Ryan เป็นตัวแทนของพรรคเดโมเครทจากรัฐโอไฮโอ กล่าวว่าการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนของจีนมีผลต่อแผนกระตุ้นการเงินของสหรัฐอเมริกา การที่ประเทศหนึ่งจะผูกติดค่าเงินของตนที่ในระดับใดระดับหนึ่งแทนที่จะปล่อยให้เคลื่อนไหวเป็น การไม่ซื่อสัตย์ต้องได้รับการแก้ไขเพราะมีผลทำให้คนอเมริกันต้องว่างงานเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลจีนมีสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวน 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จึงมีส่วนสนับสนุนค่าอัตราแลกเปลี่ยนของตน ซึ่งส่งผลสนับสนุนการส่งออกและทำให้การนำเข้ามีต้นทุนสูงขึ้น
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2553 ประธานาธิบดีเวิน เจียเป่า ของจีนเรียกร้องให้หยุดดำเนินนโยบายกดดันในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศจีน เพราะเชื่อว่าเงินหยวนยังมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
นักกฏหมายของสหรัฐซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักเศรษฐศาสตร์ของสหรัฐ เชื่อว่าค่าเงินหยวนต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงประมาณ 25-50% ทำให้บริษัทของจีนใช้ความได้เปรียบที่ เป็นธรรมในการทำการค้ากับประเทศต่างๆ
ในการแถลงข่าวกระทรวงการคลังของสหรัฐกำลังทบทวนร่างของ Mr.Charles Schumer โดยกล่าวว่าขณะนี้ทางกระทรวงการคลังมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศจีนมาก เพราะการที่จีนสะสมเงินทุนสำรองเป็นจำนวนมากแสดงว่าจีนอาจจะเพิ่มค่าเงินหยวนก็ได้
Mr. Robert Gibbs โฆษกของทำเนียบขาว กล่าวว่าประธาธิบดีได้กล่าวว่าปรารถนาและหวังว่าจีนจะจัดการให้อัตราแลกเปลี่ยนสะท้อนค่าที่แท้จริง โดยจะดำเนินการให้ค่าเงินเป็นไปตามกลไกตลาด
ในปี 2005 Mr.Charles E. Schumer และ Mr.Lindsey Graham จากรัฐแคโรไลน่าใต้ ได้เคยนำเสนอร่างกฏหมายที่จะใช้ในการเก็บภาษีอัตราที่สูงสำหรับสินค้านำเข้าจากจีน โดยร่างดังกล่าวได้รับการตอบรับในสภาสูง แต่ต่อมาได้ถูกถอดถอนออกไปหลังจากจีนได้ปรับเพิ่มค่าเงินสูงขึ้น และการปรับเพิ่มค่าเงินนั้นสิ้นสุดลงในปี 2008
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและการส่งออกที่มีการขยายตัวอย่างมากของจีน แสดงถึงการที่ประเทศจีนใช้เงินหยวนเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำการค้า อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศสหรัฐกล่าวว่ารัฐบาลไม่สามารถที่จะแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนได้ จากเหตุผลหลายๆ อย่างโดยในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช ห่วงแต่ในเรื่องของการดูแลนโยบายการค้าเสรี ขณะที่รัฐบาลของประธาธิบดีบารัค โอบาม่า เป็นห่วงในเรื่องของการตอบโต้สงครามทางการค้าของจีน
หลักการภายใต้ร่างกฎหมายของ Schumer/Graham ที่ต้องการให้จีนเพิ่มค่าเงินหยวน มีดังนี้
- กระทรวงการคลังจะต้องระบุประเทศที่ใช้มาตรการด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ บิดเบือน
- กระทรวงการคลังจะต้องรายงานให้รัฐสภา ปีละ 2 ครั้ง ในเดือนมีนาคมและกันยายน
- ประเทศที่ถูกกล่าวหาจะมีเวลา 90 วัน ที่จะดำเนินการแก้ไขการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนนั้น
- ถ้าประเทศที่ถูกกล่าวหาไม่ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงมาตรการดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐจะบังคับเก็บภาษีป้องกันการทุ่มตลาด (Anti-dumping)
- สหรัฐจะให้เวลา 360 วัน ในการแก้ไขปรับปรุง หากมิได้ดำเนินการจะนำเรื่องเข้าสู่ WTO
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่วุฒิสมาชิกหลายท่านได้พยายามเสนอร่างกฎหมายนี้ขึ้นที่จะกดดันให้จีนปฏิรูปมาตรการดูแลค่าเงินของจีน จะเป็นการยัดเยียดให้จีนเป็นแพะรับบาป(Scapegoat) จากสถานการณ์การเมืองของสหรัฐ โดยหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ได้รายงานว่านักกฎหมายของสหรัฐต้องการที่จะให้เงินหยวนเป็นแพะรับบาป แต่อาจจะเสี่ยงที่จะเกิดสงครามการค้ากับจีน
จากแรงกดดันนี้ มีผลมาจากปี 2553 มีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในบางรัฐ และตัวเลขการว่างงานที่สูงมากทำให้กลุ่มสมาชิกต้องหาทางออกกฎหมายเพื่อตอบโต้จีนให้ลดค่าเงิน มิฉะนั้นจะมีมาตรการเก็บภาษีสินค้าจากจีน
1. ประเทศจีนถือครองพันธบัตรของสหรัฐเป็นจำนวนมากและเป็นอันดับ 1 ของโลกหากจีนคิดว่าสหรัฐบีบคั้นให้เพิ่มค่าเงินหยวน อาจจะมีการตอบโต้ทางด้านการเงินเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลอย่างรุนแรงต่อตลาดการเงินและพันธบัตรต่างประเทศและลุกลามไปทั่วโลก
2. ขณะนี้จีนมีแนวคิดที่จะหาเงินตราประเทศอื่น นอกจากเงินดอลลาร์สหรัฐมาใช้ในการทำการค้าโดยพยายามเจรจากับประเทศอื่นๆ เพื่อใช้เงินหยวนในการซื้อขาย ซึ่งคาดว่าจีนไม่กังวลกับการที่จะไม่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในอนาคต
3. ขณะนี้มีบริษัทในสหรัฐจำนวนมากมาลงทุนในประเทศจีนและผลิตสินค้าส่งไปยังตลาดภายในประเทศจีน หากมีมาตรการตอบโต้ระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลก็อาจมีผลเสียต่อการประกอบธุรกิจในจีนได้
4. การที่จีนสามารถใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวสนับสนุนการส่งออกอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เหตุผลอื่นๆ ที่จีนสามารถส่งออกได้มากมาจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและมุ่งมั่นในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมาและประกอบกับทรัพยากรโดยเฉพาะแรงงานที่มีอยู่มากอีกทั้งความมุ่งมั่นของนักธุรกิจจีนในการทำการค้า ส่งผลให้การส่งออกของจีนเติบโตอย่างเต็มที่
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก
ที่มา: http://www.depthai.go.th