ตารางแสดงมูลค่าการค้าไทย-สเปน ไตรมาสแรกของปี 2553
มี.ค.2553 ม.ค.-มี.ค.2553 มูลค่า (Mil.US$) เพิ่ม/ลด (%) มูลค่า (Mil.US$) เพิ่ม/ลด (%) จากเดือนก่อน ช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งออก 92.50 +12.29 254.37 +40.79 นำเข้า 46.82 +19.26 115.25 +32.50 การค้ารวม 139.32 +14.54 396.62 +38.10 ดุลการค้า +45.68 +5.96 +139.12 +48.51 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ในเดือนมีนาคม 2553 ไทยกับสเปนมีมูลค่าการค้ารวม 139.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไทยเป็นฝ่ายส่งออกไปสเปน 92.50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.29 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาโดยมีหมวดสินค้าที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+71.74%) อัญมณีและเครื่องประดับ (+69.32%) และกุ้งสดแช่เย็น/แช่แข็ง (+49.72%) ขณะที่นำเข้าจากสเปนรวม 46.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้น ร้อยละ 19.26 ทั้งนี้ ไทยได้ดุลการค้าเพิ่มขึ้นอีก 45.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสแรกปี 2553 ไทย-สเปน มียอดการค้ารวม 396.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยไทยมียอดส่งออกมาสเปนรวม 254.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.79 หมวดสินค้าหลักดั้งเดิมสามารถกลับมาขยายตัวในอัตราสูงได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+110.66%) ยางพารา (+263.45%) และรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (+520.64%) ขณะที่นำเข้าจากสเปน 115.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.50 ทำให้ไทยได้ดุลการค้าจากสเปนสะสมในปีนี้ จำนวน 139.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.51 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตารางแสดงโครงสร้างการส่งออกของไทยไปยังสเปน ไตรมาสแรกของปี 2553 หมวดสินค้า มูลค่า (Mil.US$) เพิ่ม/ลด(%)จากปีก่อน สัดส่วน(%) สินค้าเกษตรกรรม(กสิกรรม/ปศุสัตว์/ประมง) 49.2 +64.82 19.34 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 14.0 -14.39 5.52 สินค้าอุตสาหกรรม 191.1 +42.40 75.13 สินค้าแร่และเชืAอเพลิง - - - รวม 254.4 +40.79 100.00 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร จากโครงสร้างการส่งออกของไทยไปยังสเปน หมวดสินค้าอุตสาหกรรมยังครองส่วนแบ่งเป็นสินค้าส่งออกในอัตราสามในสี่ อันประกอบด้วยสินค้าหลักได้แก่ เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนและเสื้อผ้าสำเร็จรูป และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รองลงมาได้แก่หมวดสินค้าเกษตรกรรมมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ่นในอัตราสูง โดยเฉพาะยางพารา และกุ้งสดแช่เย็น/แช่แข็งและลำดับสุดท้ายหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรมีสัดส่วนการส่งออกไม่มากนัก และปรับตัวลดลงร้อยละ 14.39 ตารางแสดงมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยมายังสเปน 10 อันดับแรก ไตรมาสแรกของปี 2553 ที่ สินค้า มูลค่า(Mil. USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) 1 เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 54.6 21.46 +110.66 2 เสื้อผ้าสำเร็จรูป 34.7 13.65 +21.80 3 ยางพารา 34.5 13.55 +263.45 4 รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 11.2 4.39 +520.64 5 เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ 8.9 3.50 +187.69 6 ผลิตภัณฑ์ยาง 8.9 3.49 +22.35 7 กุ้งสดแช่เย็น/แช่แข็ง 8.9 3.49 +288.89 8 ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 8.6 3.40 +60.07 9 เลนส์ 8.6 3.39 +33.92 10 เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ส่วนประกอบ 5.8 2.26 +19.79 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกที่ผ่อนคลายลง ส่งผลให้สินค้าแทบทุกหมวดของไทยมีอัตราขยายตัวในอัตราเร่ง โดยเฉพาะสินค้าหลักดั้งเดิมของไทยในตลาดนี้ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ยางพารา และรถยนต์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ ต่างมีอัตราเติบโตกว่าร้อยละ 100 จึงถือได้ว่าผู้บริโภคเริ่มมีความมัน% ใจและจับจ่ายใช้สอยแบบลดการรัดเข็มขัดลง ซึ่งสังเกตได้ชัดจากสินค้าประเภทคงทน อาทิเช่น รถยนต์ และเครื่องใช้ฟ้าต่างๆ เป็นต้น เริ่มทำยอดขายได้ดีขึ้นหลังจากที่ผู้บริโภคต้องตัดสินใจระงับหรือเลื่อนเวลาการซื้อออกไปในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสเปนยังคงอยู่ในแดนลบ รวมทั้ง ยังคงมีสภาพเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลกที่ยังไม่นิ่ง ในช่วงเดียวกันไทยนำเข้าสินค้าจากสเปน เป็นมูลค่า 115.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 32.50 โดยมีรายละเอียดการนำเข้าสินค้า 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุดดังนี้ ตารางแสดงมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากสเปน 5 อันดับแรก ไตรมาสแรก ปี 2553 สินค้า มูลค่า(Mil.USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) เคมีภัณฑ์ 20.4 17.72 +96.62 เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 15.1 13.12 +24.65 ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม 11.7 10.13 +8.33 เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 7.9 6.86 +69.38 สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูป 5.8 5.07 -19.14 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของราชอาณาจักรสเปน ท่ามกลางข่าวดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกในภาพรวม แต่สถานการณ์ด้านตลาดแรงงานของสเปนยังมีอาการน่าเป็นห่วง อัตราการว่างงานยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงแม้จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงก็ตาม ในไตรมาสแรกของปี 2553 พบว่ามีคนว่างงานเพิ่มขึ้นอีก 286,200 คน ทำให้มีคนว่างงานทั้งสิ้นกว่า 4.6 ล้านคน ทะลุระดับร้อยละ 20 ของแรงงานทั้งหมด โดยนายกรัฐมนตรีได้ออกมายอมรับและกล่าวว่าปัญหาการว่างงานน่าจะเริ่มคลี่คลายได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของปีนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้การว่างงานได้เพิ่มขึ้นในแทบทุกแคว้น ยกเว้นแคว้นบาสก์ เมืองเซวตา และเมืองเมลิยา เท่านั้น ส่วนแคว้นอันดาลูเซียและหมู่เกาะคานารีมีอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสูงกว่าระดับร้อยละ 27 แล้ว ทำให้ความมั่นใจของผู้บริโภคยังไม่กลับเข้าสู่ระดับปกติ ส่วนภาคการผลิตก็ยังใช้กำลังการผลิตได้ไม่เต็มที่ส่งผลให้การลงทุนยังคงชะลอตัว ถึงแม้ภาคการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้น แต่ความต้องการภายในประเทศไม่ได้ดีตามไปด้วย จากการอัดฉีดเงินเข้าระบบจำนวนมหาศาลในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา ขณะนี้รัฐบาลต้องปรับลดค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันก็ต้องหารายได้เพิ่มมาชดเชยด้วยการขึ้นภาษี อันจะส่งผลกระทบและเพิ่มความกดดันให้กับประชาชนในภาพรวมต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม สเปนยังมีฐานะการคลังที่ดีกว่ากรีซและบางประเทศในสหภาพยุโรที่มีระดับหนี้สาธารณะสูงกว่า ได้แก่ ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และโปรตุเกส ทั้งนี้ สเปนได้พยายามแก้ไขปัญหาด้านการคลังในปี 2553 โดยมุ่งส่งเสริมเพิ่มการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างการจ้างงานอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ต้องปรับโครงสร้างด้านการศึกษา การแข่งขันในภาคธุรกิจบริการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งตลาดแรงงาน ควบคู่กันไปด้วย รัฐบาลสเปนมีเป้าหมายที่จะลดการขาดดุลงบประมาณให้กลับไปสู่ระดับร้อยละ 3 ของGDP ภายในปี 2556 พร้อมทั้งสร้างความเข้มแข็งและปรับโครงสร้างระบบการเงินใหม่ มาตรการใหม่ๆที่รัฐบาลจะนำมาใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจขณะนี้ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประสงค์จะปรับปรุงที่อยู่อาศัย การให้เงินกู้แก่ธุรกิจ SMEs ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ การพัฒนาธุรกิจไปสู่สากล การลงทุนเพิ่มด้านวิจัย-พัฒนาและนวัตกรรม การลดหนี้เสียทั้งส่วนบุคคลและสาธารณะ การปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กรสาธารณะ นอกจากนั้น ได้ยกร่างแผนเศรษฐกิจสู่สภาที่ประกอบไปด้วยแผนการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง และขยายแผนปฏิบัติการในแนวระนาบ เพื่อหวังจะทำให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวให้ได้ในระยะปานกลาง ผลจากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจในระยะสั้นที่ผ่านมา พบว่าการบริโภคภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละหมวดสินค้า โดยปกติแรงซื้อในตลาดค้าปลีกหลังเทศกาลในช่วงปลายปีจะปรับลดลง แต่สินค้าที่มีลักษณะคงทนกลับมีแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่มีการเปลี่ยนแปลง สะท้อนให้เห็นว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังไม่เข็มแข็ง เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคตั้งแต่ต้นปี 2553 เป็นต้นมาก็ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเป็นเพราะผลกระทบจากปัญหาตลาดแรงงานการยกเลิกมาตรการกระตุ้นด้านภาษี และการจำกัดการขึ้นค่าแรง ส่วนในแง่ของการลงทุนทางธุรกิจ พบว่าการใช้กำลังการผลิตลดลงเล็กน้อยในไตรมาสแรก จึงช่วยยืนยันได้ว่าการฟื้นตัวยังไม่มั่นคง โดยเฉพาะปัจจัยจากตลาดภายในประเทศเอง โดยสรุปแล้ว ในไตรมาสแรกของปี 2553 ภาคธุรกิจหดตัวลงเล็กน้อย ร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่สอง ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นของภาครัฐที่จะมีรายได้มาจากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของภาคธุรกิจมากขึ้นอย่างไรก็ตาม การหลุดพ้นจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะต้องจับตาดูผลจากมาตรการการปฏิรูปในด้านต่างๆต่อไป แนวโน้มการส่งออกของไทย สินค้าหลักของไทยในตลาดสเปนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในปีที่ผ่านมา ได้แก่เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ยางพารา และยานยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน เริ่มกลับมาขยายตัวในอัตราเร่งในช่วงต้นปี 2553 และขณะเดียวกัน กลุ่มสินค้ารอง ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ และกุ้งสดแช่เย็น/แช่แข็ง ก็ล้วนแต่ขยายตัวได้ดี กอปรกับปัจจัยบวกในการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานที่หวังว่าจะดีขึ้นในช่วงกลางปี จึงหวังได้ว่า การส่งออกของไทยในภาพรวมสำหรับตลาดสเปนจะสามารถขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ในปี 2553 แต่ทั้งนี้ ยังต้องคอยจับตาดูปัจจัยภายนอกและการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนและอ่อนไหว อันอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยได้ ที่มา: http://www.depthai.go.th