แม้ว่าในปี 2552 หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ แต่เศรษฐกิจของอินเดียยังคงขยายตัวในอัตราสูง ประมาณร้อยละ 7.5 เนื่องจากความต้องการภายในประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงนับเป็นโอกาสอันดีของไทยในการขยายการส่งออกและเข้าไปลงทุนในอินเดียต่อไปโดยใช้เมืองเจนไนเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเจาะตลาดใหม่ของกระทรวงพาณิชย์
GDP — 70 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ปี 2009)
GDP Growth- 4% (ค่าประมาณการปี 2009) ทมิฬนาฑูมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของอินเดียรองจากรัฐมหารัชตระ ซึ่งมีมุมไบเป็นเมืองหลวงของรัฐ และอุตรประเทศที่มีกรุงนิวเดลีเป็นเมืองหลวงของรัฐ และเป็นรัฐที่มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม มากเป็นเป็นอันดับสองรองจากรัฐมหารัชตระ และเป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย
เนื่องจากเจนไนเป็นมีท่าเรือและท่าอากาศยานที่ใกล้ประเทศไทย มีการบริหารท่าเรือได้มาตรฐานโลก และประชากรมีกำลังซื้อสูงอันเนื่องมาจากอุตสาหกรรม IT และsoftware เติบโตอย่างรวดเร็ว ทมิฬนาฑูมี FDI เป็นอันดับ 3 รองจากรัฐมหาราชตระ และกรุงนิวเดลีตามลำดับ ทั้งนี้ทมิฬนาฑูมี FDI คิดเป็นสัดส่วน 9.12% ของการลงทุนจากต่างประเทศของอินเดีย ปัจจุบันมีบริษัทของคนไทยที่เข้าไปลงทุน ได้แก่ ซีพี (จำหน่ายอาหารสัตว์ และพันธ์กุ้ง) SCG (จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง) สยามคูโบตา (รถแทรกเตอร์และเครื่องยนต์การเกษตร) บ้านพฤกษา บริษัท Rockworth (เฟอร์นิเจอร์)
GDP per capita: 675 เหรียญสหรัฐ (ปี 2009)
พื้นที่- 130,058 ตารางกิโลเมตร เป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 11 ของอินเดีย และมีประชากรมากเป็นอันดับ 7 ของอินเดีย
เมืองหลวง: เจนไน (Chennai) ประชากร 7 ล้านคน
ประชากร: 66,396,000 คน (ปี 2008) เป็นชาย 33 ล้านคน เป็นหญิง 33 ล้านคน
อัตราการว่างงาน: น้อยมาก อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่า 2.8% ในเขตชนบท และ 4.8% ในเขตเมือง ส่งผลให้เจนไนเป็นเมืองที่มีปัญหาอาชญากรรมและการก่อการร้ายน้อยมากเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ของอินเดีย และทำให้ต่างชาตินิยมไปลงทุนในเจนไน
สภาพทั่วไป จากการศึกษาเรื่อง“Location Ranking Survey” โดยสถาบัน ECA International พบว่า เจนไนเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในอินเดีย และผล การสำรวจของสถาบัน Mercer พบว่าเจนไนเป็นเมืองที่น่าอยู่เป็นอันดับสองรองจากกรุงนิวเดลี แต่ในด้านความปลอดภัย เจนไนมีอัตราการเกิดอาชญากรรมน้อยที่สุดในอินเดีย แม้ว่าเจนไนจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ตึกระฟ้ากลับไม่เป็นสิ่งที่จะพบเห็นได้ เนื่องจากมีการจำกัดความสูงของตึก อย่างไรก็ตามเจนไนมีระบบรถไฟฟ้าและรถไฟที่ดีที่สุดของประเทศ แต่ยังไม่มีรถไฟใต้ดิน
อัตราการเติบโตของประชากร: ร้อยละ 11.19
อัตราการรู้หนังสือ: 73%
ทมิฬนาฑู โดยเฉพาะเจนไนมีความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ได้แก่อุตสาหกรรมรถยนต์ ( เจนไนเป็นฐานการผลิตรถยนต์ชั้นนำ ได้แก่ Ford, Caterpillar, Hyundai, BMW and Mitsubishi, MRF, TI cycles of India, Ashok Leyland, Royal Enfield, Mahindra & Mahindra, TAFE Tractors and TVS ฯลฯ) การบริการด้าน software การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ IT และศูนย์กลางทางการเงิน นอกจากนั้นยังมีอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป (ฐานการผลิตสำคัญอยู่ที่เมือง Coimbatore, Tirupur และ Erode ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองเมนเชสเตอร์แห่งอินเดีย) และมีท่าเรือที่ทันสมัยและดีเยี่ยมแห่งหนึ่งของอินเดียที่เจนไน
เนื่องจากอ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของรัฐนี้ จึงมีโรงงานผลิตกระดาษจากชานอ้อยใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อTamil Nadu Newsprint and Papers Ltd. (TNPL) ตั้งอยู่ที่เมือง Karur และทมิฬนาฑูยังมีโรงงานผลิตนาฬิกา Titan ซึ่งใหญ่อันดับ 7 ของโลกตั้งอยู่ที่เมือง Hosur
ภาคอุตสาหกรรม - 20%
ภาคบริการ - 59%
ภาคการเกษตร - 21%
แร่ธาตุสำคัญ — ทมิฬนาฑู มีแหล่งแร่สำคัญหลายชนิด ได้แก่ ลิกไนต์ (87% ของประเทศ) , Vermiculite (66%), แกรนิต -เป็นสินค้าส่งออกสำคัญ (42%), Zircon (38%), กราไฟต์ (33%), Ilmenite (28%), Rutile (27%), Monazite (25%), แมกนิไซต์ (17%) นอกจากนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเหล็กก็มีโรงงานอยู่ที่เมืองเซลัม (Salem) เนื่องจากรัฐนี้เป็นแหล่งแร่เหล็กสำคัญ และบริษัท Sterlite Industries มีโรงงานทองแดงที่เมือง Tuticorin และโรงงานอลูมิเนียมที่เมือง Mettur
เจนไนเป็นฐานการผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดของอินเดียโดย 30% ของการผลิตยานยนต์ในอินเดียผลิตที่ทมิฬนาฑู และ 60% ของการส่งออกรถยนต์เกิดขึ้นที่เจนไน เจนไนเป็นที่รู้จักกันในฐานะ the Detroit of South Asia บริษัทรถยนต์ในเจนไนที่สำคัญ ได้แก่
บริษัท สินค้าที่ผลิต
Ashok Leyland รถบรรทุก Ford, USA รถยนต์นั่งโดยสาร Hyundai, Korea (กำลังการผลิต 6 แสนคันต่อปี) รถยนต์นั่งโดยสาร Mitsubishi รถยนต์นั่งโดยสาร BMW รถยนต์นั่งโดยสาร Renault รถยนต์นั่งโดยสาร Royal Enfield รถจักรยานยนต์ Taft แทรกเตอร์ Tata-Udyog HCVS TVS-Suzuki รถจักรยานยนต์ Caterpillar รถตักดิน Komatsu รถตักดิน Creaves แทรกเตอร์ HVF รถยานเกราะเพื่อการทหาร ICF ตู้โดยสารรถไฟ TI Cycles รถจักรยานยนต์ Madras Rubber Factory (MRF) ยางรถยนต์
- เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ —ทมิฬนาฑูเป็นฐานใหญ่ของการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สำคัญๆ ได้แก่ Nokia, Flextronics, Motorola, Sony-Ericsson, Foxconn, Samsung, Cisco, Moser Baer , Dell โดยส่วนใหญ่มีโรงงานอยู่ที่เมืองเจนไน ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นแผงวงจรไฟฟ้าและโทรศัพท์มือถือ นอกจากนั้นบริษัท BHEL (Bharat Heavy Electrical Limited) ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่ที่สุดของอินเดียก็มีโรงงานอยู่ที่เมือง Tiruchirapalli และ Ranipet ของรัฐทมิฬนาฑู
- ซอฟแวร์ — เจนไนเป็นคู่แข่งสำคัญของบังกะลอร์ในเรื่อง IT และ BPO แต่ IT Park ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียกลับอยู่ที่เจนไน เจนไนเป็นแหล่ง outsource จากทั่วโลกใหญ่เป็นอันดับสองรองจากบังกะลอร์ และเป็นอันดับสองรองจากบังกะลอร์ในเรื่องการส่งออก software เจนไนมีนิคมอุตสาหกรรมซอฟแวร์กว่า 80 แห่ง บนถนนสาย Software corridor ชื่อ Old Mahabalipuram อาทิเช่น Tidel Park ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของอินเดีย บริษัทชั้นนำด้านซอฟแวร์ล้วนมีฐานการผลิตที่เจนไน ได้แก่ HCL, Wipro, TCS, Satyam, Infosys, Cognizant Technology Solutions, Acme Technology Pvt Ltd, Covansys, Ford Information Technology, Xansa, Verizon, iSoft, iNautix, Electronic Data Systems, Bally สำหรับ Infosys Technologies ได้จัดตั้งศูนย์พัฒนา software ใหญ่ที่สุดของอินเดียอยู่ที่เจนไน
- Hardware- บริษัทชั้นนำของโลกได้เข้าไปตั้งโรงงานอยู่ในเจนไน ได้แก่ Hewlett-Packard, IBM, Accenture, Computer Sciences Corporation, Cognizant Technology solutions, Tata Consultancy Services, Infosys, Wipro, Tech Mahindra สินค้าสำคัญที่มีการผลิตในเจนไนคือโทรศัพท์มือถือ โดยมีกำลังการผลิตด้านโทรศัพท์มือถือของนิคมอุตสาหกรรม Riperumbudur ประมาณ 50 ล้านเครื่อง (ประมาณครึ่งหนึ่งของการผลิตของเสินเจิ้นของจีน) ซึ่งจะส่งออกประมาณร้อยละ 30 ที่เหลือขายในประเทศ ต้นทุนการผลิตในเจนไนต่ำกว่าในจีนถึงร้อยละ 11 ส่งผลให้โนเกียใช้เจนไนเป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนตลาดเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลเจนไนได้ตั้งเป้าหมายให้เจนไนมีกำลังการผลิต electronic Hardware ได้เท่ากับเสินเจิ้นของจีนภายในปี 2010
- เกษตร — ทมิฬนาฑูผลิตข้าวได้มากเป็นอันดับสองของอินเดีย ผลิตผลเกษตรสำคัญของรัฐนี้ได้แก่ อ้อย ธัญพืช ข้าว ถั่ว ข้าวฟ่าง ฝ้าย, ragi, bajra, ข้าวโพด มะพร้าว ชา กาแฟ กล้วย มะม่วง ข้าวเป็นอาหารหลักของคนในทมิฬนาฑู ซึ่งต่างจากคนในภาคเหนือของอินเดียที่รับประทานอาหารทำจากแป้งสาลีเป็นหลัก การปลูกข้าวทำกันใน 3 ช่วง คือ 1) ช่วง ‘Kuruvali’3-4 เดือน ประมาณ กรกฎาคม — พฤศจิกายน 2) ช่วง‘Thaladi’ มีช่วงเวลาประมาณ 5-6 เดือน ระหว่างเดือน ตุลาคมหรือพฤศจิกายน —กุมภาพันธ์หรือมีนาคม หรือ 3) ช่วง 'Samba' ประมาณ 6 เดือนระหว่างเดือนสิงหาคม — มกราคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ เนื่องจากบริเวณชายฝั่งเป็นที่ราบ ขณะที่บริเวณที่ลึกเข้าไปเป็นที่ราบสูง
- อุตสาหกรรมภาพยนต์ —มุมไบมีโบลิวูด เจนไนมีกัลลีวูด อุตสาหกรรมภาพยนต์ของเจนไนใหญ่เป็นอันดับสองของอินเดียรองจากมุมไบ ประชาชนในทมิฬนาฑูนิยมการชมภาพยนต์มาก โรงภาพยนต์มีผู้ชมเต็มทุกรอบ ภาพยนต์ไทยก็เป็นนิยมเช่นกัน เช่น ภาพยนต์ action (องค์บาก) ภาพยนต์เพลง (แฟนฉัน) และการ์ตูน animation (ก้านกล้วย-หรือ jumbo ในเวอร์ชั่นอินเดีย)
- ท่าเรือเจนไน — เปิดดำเนินการมากว่า 126 ปี ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอินเดีย รองจากท่าเรือมุมไบ ถือเป็น Hub ของท่าเรือฝั่งตะวันออกของอินเดีย ครอบคลุมการขนส่งทางเรือของ 3 รัฐทางใต้ของอินเดีย ได้แก่ Tamil Nadu, Karnataka และ Andhra Pradesh และเป็นเส้นทางขนส่งทางเรือสู่เมืองต่างๆ ได้แก่ กัลกัตตา โคชิน โคลัมโบ สิงคโปร์ ธากา ย่างกุ้ง ฯลฯ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง Container Terminal phase 2 พร้อมรับเรือคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาเป็น Major Container Hub ของท่าเรืออินเดียในอนาคต
- รัฐบาลทมิฬนาฑูมีนโยบายขยายท่าเรือต่างๆ ให้ทันสมัยและกว้างขวางขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะยานยนต์และIT ได้แก่ ท่าเรือ Kattupalli, Ennnore (ท่าเรือส่งออกรถยนต์โดยเฉพาะ) , Chennai, Cuddalore,Thirukadaiyur, Nagapattinam, Pambann & Rameswaram, Valinokkam, Tuticorin, Manappadu, Colachel
- งานด้านศุลกากร อินเดียใช้ระบบ EDI (Electronic Data Interface) สำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้า ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและอำนวยความสะดวกในการผ่านพิธีการศุลกากร โดยระยะเวลาในการผ่านพิธีการใช้เวลาประมาณ 1-3 วัน (ท่าเรือและสนามบินเจนไนใช้เวลา 1 วัน แต่สำหรับเมืองท่าอื่นๆ อาจใช้เวลามากกว่า) โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะใช้เวลาในการตรวจสินค้าประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือเป็นงานในส่วนที่ผู้นำเข้าและ Freight Forwarder ต้องเป็นผู้จัดเตรียม
- ท่าเรือเชนไนมีความร่วมมือ sister port กับหลายประเทศ เช่น เบลเยี่ยม มาเลเซีย ฝรั่งเศส และแคนาดา ความร่วมมือดังกล่าวกับประเทศไทยน่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการขนส่งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะปัจจุบันท่าเรือระนองได้เปิดดำเนินการแล้ว อย่างไรก็ตาม การจัดทำ sister port ของอินเดียต้องได้รับคำแนะนำและความเห็นชอบจากรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งคงต้องมีการผลักดันในระดับรัฐต่อไป
- ท่าอากาศยานเมืองเจนไนเมืองเชนไนนอกจากจะมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าแล้ว การขนส่งทางอากาศยังมีความได้เปรียบกว่าเมืองบังกะลอร์ซึ่งเป็นศูนย์ธุรกิจทางตอนใต้ของอินเดียเช่นกัน เนื่องจากสนามบินเชนไนอยู่ในเขตเมือง การขนส่งสินค้าจึงมีความสะดวกรวดเร็ว แต่สนามบินบังกะลอร์อยู่ห่างจากตัวเมืองมาก และธุรกิจส่วนใหญ่ยังอยู่ในเมืองเชนไน หรือรอบๆ เชนไน ทั้ง Nokia Samsung BMW และ Hyundai เป็นต้น
ทาอากาศยานเมืองเจนไน เปิดดำเนินงานขนส่งสินค้าทางอากาศตั้งแต่ปี 2521 เป็นท่าอากาศยานของรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ จะมีจุดแข็งที่เป็นสนามบินในเขตเมือง (ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองประมาณ 30 นาที) โดยในปี 2551 ได้รับรางวัล The Best Airport เปรียบเทียบระหว่างสนามบิน 127 แห่งทั่วประเทศที่ดำเนินการโดย Airports Authority of India และตั้งเป้าหมายเป็น Major Hub ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2549
- ญี่ปุ่นสนใจ Souther Seaboard เป็นสะพานเชื่อมโยงการค้าไทย-เจนไน ภายใต้ FTA อาเซียน- อินเดีย
JETRO ของญี่ปุ่นมีความสนใจต่อโครงการ Southern Seaboard เพื่อเป็นประตูเชื่อมโยงการค้ากับเจนไนเพื่อรองรับ FTA อาเซียน-อินเดียที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อต้นปี 2553
ปัจจุบัน JETRO กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนเงินทุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในเจนไน และ Southern Seaboard ของไทยเพื่อเป็นสะพานเชื่อมโยงการค้าระหว่างสองประเทศซึ่งจะขยายตัวกว่าเท่าตัวภายใน 2 ปีหลังจาก FTA อาเซียน-อินเดียมีผลบังคับใช้แล้ว เหตุผลสำคัญคือ ญี่ปุ่นต้องการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของโตโยตา นิสสัน และซูซูกิจากไทยไปอินเดียโดยใช้เส้นทางที่สั้นที่สุดคือ Southern Seaboard ของไทยไปยังท่าเรือเจนไน
มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาที่เรือฝั่งอันดามันของไทย 3 แห่ง คือระนอง พังงา และปากบารา
1. ระนอง มีความพร้อมในในหลายด้าน เช่น อยู่ใกล้โรงงานที่กรุงเทพ สามารถขนถ่ายสินค้าไปสู่อินเดียได้รวดเร็ว แต่ปัญหาสำคัญคือไม่สามารถพัฒนาเป็นท่าเรือน้ำลึก
2. พังงา — สามารถพัฒนาเป็นท่าเรือน้ำลึกได้โดยมีถนนและทางรถไฟเชื่อมไปยังขนอมด้านฝั่งอ่าวไทย พังงามีข้อดีคือใกล้กรุงเทพ ซึ่งกรุงเทพมีอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นหนาแน่น ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากกรุงเทพทางถนนและรถไฟเพื่อขึ้นเรือที่ท่าเรืองพังงาส่งตรงไปเจนไน และสามารถส่งต่อไปยังบังกะลอร์ ซึ่งโตโยตาให้ความสำคัญกับเส้นทางนี้มาก เนื่องจากโรงงานโตโยตาตั้งอยู่ที่เมืองบังกะลอร์ มีความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์และยางรถยนต์จากไทยมาก และพังงายังเป็นจุดที่เหมาะสมที่จะสร้าง Southern seaboard
3. ปากบารา- มีความเหมาะสมที่จะเป็น Land bridge เชื่อมระหว่างปากบารากับจังหวัดสงขลา เพื่อขนถ่ายน้ำมันผ่านท่อ (ญี่ปุ่นให้ความสำคัญเส้นทางนี้มาก เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานน้ำมัน ไม่ต้องพึ่งพาช่องแคบมะละกามากเกินไป ซึ่งมีอุบัติเหตุบ่อยครั้งและเริ่มมีปัญหาโจรสลัด และช่วยให้ประหยัดเวลาการเดินทางได้ถึง 3-5 วัน จึงมีความสำคัญทั้งต่ออุตสาหกรรมญี่ปุ่นในไทยและใน
นิคมอุตสาหกรรม: ทมิฬนาฑูมีนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 110 แห่ง สำหรับอุตสาหกรรมทั่วไป นอกจากนั้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน เช่น Rubber Park, Apparel Parks, Floriculture Park, TICEL Park สำหรับธุรกิจ Biotech, Siruseri IT Park และ Agro Export Zone
มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 8%
มีความพร้อมด้านท่าเรือ สนามบิน รองรับการค้าไทย-อินเดียที่กำลังจะขยายตัวภายใต้ FTA อาเซียน-อินเดีย
มีความหลายกหลายทางชีวภาพด้านการผลิตสินค้าเกษตร
เป็น Medical Hub มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจการรักษาพยาบาล และอุตสาหกรรมการผลิตยา
มีความเข้มแข็งในการผลิตภาพยนต์ป้อนตลาดโลก
มีสถาบันการศึกษาชั้นนำหลากหลายสาขาป้อนให้กับภาคอุตสาหกรรมได้อย่างเพียงพอ
ทรัพยากรมนุษย์มีคุณภาพ — ทมิฬนาฑูเป็นรัฐที่มีสถาบันการศึกษาด้านวิศวกรรมและงานช่างที่ดีเป็นอันดับ 1 ของอินเดีย อีกทั้งยังมีแรงงานไร้ฝีมือมากอย่างเพียงพอ โดยค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 3,000 รูปีต่อเดือน สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในรัฐนี้มี 252 แห่งสามารถผลิตวิศวกรได้กว่า 8 หมื่นคนในแต่ละปี มีวิทยาลัยเทคนิกกว่า 230 แห่งผลิตช่างเทคนิคได้กว่า 63,000 คนในแต่ละปี และมีโรงเรียนช่างฝีมือ 659 แห่ง สามารถผลิตแรงงานได้กว่า 1.3 แสนคนในแต่ละปี
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในนโยบายส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจังของรัฐ เสถียรภาพทางการเมืองและสังคม ปัญหาการก่อการร้ายและความไม่สงบมีน้อยมาก สินค้าที่คาดว่าจะมีการขยายตัวสูงขึ้นมากภายหลัง FTA อาเซียน-อินเดียมีผลบังคับใช้แล้ว
สินค้าจากประเทศไทย- โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ยางพาราและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ ทองรูปพรรณ (อินเดียเป็นผู้บริโภคทองคำใหญ่ที่สุดในโลก) ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง ผักและพืชประเภทถั่ว อาหารปรุงแต่ง ปลาซาร์ดีนแปรรูป น้ำผลไม้ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม กระจก และจักรยานยนต์
สินค้าจากอินเดีย- วัตถุดิบประเภทเหล็ก อลูมิเนียม ฝ้าย และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี
Software & Electronic
เครื่องปั่นไฟและสำรองไฟ (อินเดียไฟฟ้าดับบ่อยมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน)
การร่วมมือในธุรกิจ Medical tourism อุตสาหกรรมการผลิตยา และพัฒนายาสมุนไพร
Contract farming
ร่วมมือพัฒนาภาพยนต์ตีตลาดโลก 3 ประเภท คือ แนว action, animation และภาพยนต์เพลง โดยฮีโรในภาพยนต์ควรผิวสีใกล้เคียงกับชาวอินเดีย หรือมีเชื้อสายอินเดีย เช่น คุณพิ้งกี้
สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป (ต้นทุนต่ำกว่า 1$US/ชิ้น) และเคหะสิ่งทอ
เครื่องหนัง ชิ้นส่วนรองเท้า รองเท้าแตะแฟชั่น (เจนไนเป็นศูนย์กลางผลิตเครื่องหนังอันดับต้นๆ ของอินเดีย)
เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี
การประมูลงานโครงการก่อสร้าง/โครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทมิฬนาดู เช่น การประปา การไฟฟ้า การสื่อสาร เครือข่ายถนนและทางรถไฟเชื่อมโยงกับเขตนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของภาคอุตสาหกรรม
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟไปยังเขตอุตสาหกรรม Sriperumbudur, Cheyyar และ Cuddalore
รัฐบาลมีโครงการสร้างเส้นทางรถไฟสาย เจนไน-นิวเดลี เพื่อเป็นทางด่วนขนส่งสินค้า (Freight corridor) ไปยังกรุงนิวเดลี
การก่อสร้างถนน และอาคารที่พักอาศัยและสำนักงาน บ้านจัดสรร (บ้านพฤกษาได้เริ่มดำเนินธุรกิจแล้วในเจนไน)
โรงภาพยนต์แบบ Multiplex และ entertainment complex
การตั้งโรงงานกระดาษ- ปัจจุบันสยามซีเมนต์กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงานในอินเดีย
การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม
ทมิฬนาฑูผลิตสินค้าในกลุ่มผลไม้ได้ประมาณ 4.83 ล้านตันต่อปี และผักได้กว่า 6.15 ล้านตันต่อปี แต่ยังมีเทคโนโลยีการแปรรูปสินค้าเกษตรที่ล้าหลัง อีกทั้งประชากรกว่า 700 ล้านคนเป็นมังสวิรัติ จึงเหมาะที่จะเข้าไปลงทุนด้านการแปรรูปสินค้าเกษตร และการบริหารจัดการด้านการกระจายสินค้าเกษตร (พืช ผัก ผลไม้ ในตลาดบอบช้ำมาก เนื่องมาจากการขนส่ง การบริหารจัดการไม่ดีพอ)
การส่งออกสินค้าเกษตรและประมง ปัจจุบันทมิฬนาดูเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและประมงไปยังเอเชียตะวันออกและตะวันออกกลาง ปีละประมาณ 550 ล้านเหรียญสหรัฐ
การพัฒนายาจากสมุนไพร เนื่องจากทมิฬนาดูมีความหลากหลายด้านพืชสมุนไพรโดยสามารถผลิตได้กว่า 150,000 ตันต่อปี
สร้างความร่วมมือในสาขา IT การสื่อสาร การศึกษา การเงินการธนาคาร การท่องเที่ยว และก่อสร้าง/สถาปนิก
โทรทัศน์
จักรยานยนต์
เครื่องปรับอากาศ
กระจก
เครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องสีข้าว เครื่องจักรทางการเกษตร เครื่องปอกมะพร้าว
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เคมีภัณฑ์
สิ่งทอ
เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์
เครื่องสำอาง
อัญมณีและเครื่องประดับ ทองรูปพรรณ (คนอินเดียนิยมเครื่องประดับทองคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 85%)
ด้ายและเส้นใยสังเคราะห์
เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม
เฟอร์นิเจอร์
ผักและพืชประเภทถั่ว
อาหารปรุงแต่ง
ปลาซาร์ดีนแปรรูป
รองเท้า รองเท้าแตะ เครื่องหนัง ชิ้นส่วนรองเท้า
ของเล่นและของใช้เด็ก (อินเดียมีเด็กเกิดใหม่ปีละ 30 ล้านคน และตลาดของเล่นเด็กขยายตัวปีละ 20%)
น้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง (อินเดียเป็นตลาดมังสิวิรัตใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้รับประทานเจกว่า 50% หรือ 600 ล้านคน)
ชิ้นส่วนยานยนต์ (ปัจจุบันอินเดียนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์จากไทย) เช่น โตโยตา ฮุนได นิสสัน ฟอร์ด ซูซูกิ
สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไน
ที่มา: http://www.depthai.go.th