สหรัฐฯเคยเป็นประเทศผู้ผลิตผ้าไหมรายใหญ่ของโลกในระหว่างปี 1830 — 1950 แหล่งผลิตสำคัญอยู่ในเขต New England และ Mid-Atlantic หลังจากปี 1950 อุตสาหกรรมการผลิตไหมของสหรัฐฯสลายตัวไปอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าผ้าประเภทใหม่ๆที่ถูกค้นคิดขึ้นมาที่มีราคาถูกกว่าผ้าไหมและได้รับความนิยมมากกว่า ประกอบกับความนิยมแฟชั่นการแต่งกายของผู้บริโภคสหรัฐฯและสภาวะการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก ปัจจุบันสหรัฐฯเหลือโรงงานผลิตที่สำคัญเพียงโรงงานเดียวที่ยังคงทอผ้าไหมที่เป็น furnishing fabrics สำหรับตลาดที่อยู่อาศัย คือบริษัท American Silk Mills Corporation, ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1896 ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ 41 Madison Avenue, New York, NY 10010, Tel: 212 213 1919, Fax: 212 683-2370, www.americansilk.com , Mr. John M. Sullivan, Jr. President, โรงงานทอผ้าไหมของบริษัทคือ Amrican Silk Mills: 75 Stark St., Plains, Pennsylvania, 18705, Tel: 570 822-7147, Fax: 570 829-7044
ผลิตภัณฑ์สินค้าที่ทำจากไหมที่บริโภคในตลาดสหรัฐฯรวมถึงเสื้อผ้า ชุดชั้นใน ชุดนอน ผ้าคลุมไหล่ เน็คไท ถุงน่อง เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ทำจากผ้าไหม เป็นต้น ส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์สินค้าเหล่านี้มีส่วนผสมของไหมหรือเศษไหมเกินกว่าร้อยละ 70 ขึ้นไป
ประมาณร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์ไหมทุกชนิดในตลาดสหรัฐฯเป็นการนำเข้าจากจีน และ ประมาณร้อยละ 80 ของตลาดเครื่องประดับตกแต่งเช่นเน็คไทและผ้าพันคอเป็นสินค้านำเข้าจากจีนและอิตาลีรวมกัน ที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์ไหมนำเข้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆคืออินเดีย อิตาลี และไทย ผลิตภัณฑ์ไหมจากประเทศไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสหรัฐฯสูงสุดประมาณปีละ 5 — 6 ล้านเหรียญฯคือผ้าไหมไทยที่ส่วนใหญ่เป็นผ้าที่มีเส้นใยไหมเกินกว่าร้อยละ 85
ประเภทของสินค้า ปริมาณการนำเข้า 1,000 ปอนด์ กันยายน 2009 กันยายน 2008 นำเข้ารวมทั้งสิ้น 10,785 14,915 เส้นใย ด้าย ผ้า 742 1,353 เสื้อผ้าสำเร็จรูป 7,735 11,509 Home Furnishings 245 401 Floor Coverings 2,060 1,650 ที่มา: USDA Economic Research Service อัตราภาษีนำเข้าโดยประมาณ 1. อัตราภาษีนำเข้าต่อน้ำหนักสินค้า 12 กิโลกรัม ของสินค้าที่มีส่วนผสมของไหมหรือเศษไหมเกินกว่าร้อยละ 70 ขึ้นไป ประเภทของสินค้า อัตราภาษีร้อยละ(ประมาณ) เสื้อผ้า ของทั้งบุรุษ สตรี และ เด็ก 0.9 ชุดชั้นใน/ชุดนอน 0.6 — 3.5 ถุงน่อง 1.6 — 2.7 ผ้าพันคอ 1.5 เน็คไท 1.2
ผลิตภัณฑ์ไหมส่วนใหญ่มีจุดอ่อนที่ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ไหม (หรูหรา ราคาแพงดูแลรักษายาก) ที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดการบริโภคลดลง
1. สินค้าที่จะประสบความสำเร็จในตลาดสหรัฐฯจะต้องเป็นสินค้าที่ง่ายแก่การดูแลรักษาซึ่งเป็นสิ่งที่ผลิตภัณฑ์ไหมทั่วๆไปไม่มี และผู้บริโภคสหรัฐฯมีทางเลือกที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเส้นใยเทียมอื่นที่ดูเหมือนและให้ความรู้สึกเหมือนไหมแต่สามารถดูแลรักษาได้ง่ายกว่า
2. ราคาเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดของการตัดสินใจบริโภคของผู้บริโภคทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่ผลิตภัณฑ์ไหมโดยทั่วไปมีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเส้นใยอื่นๆ
3. ขาดการโฆษณาประชาสัมพันธ์ จึงเป็นที่รู้จักเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเล็กๆกลุ่มเดียว ผู้บริโภคทั่วไปที่รู้จักและมีความคุ้นเคยกับการใช้ผลิตภัณฑ์จากไหมมีจำนวนน้อยมาก
โอกาสของผลิตภัณฑ์ไหมในตลาดสหรัฐฯอยู่ที่
1. ขนาดของตลาดสหรัฐซึ่งมีขนาดใหญ่มาก และมีผู้บริโภคที่มีอำนาจการซื้อผลิตภัณฑ์ทำจากไหมอยู่เป็นจำนวนมาก
2. ในปัจจุบันสหรัฐฯไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตไหมและผลิตภัณฑ์ไหมของตนเองจำเป็นต้องพึ่งการนำเข้าแต่เพียงอย่างเดียว
3. สหรัฐฯไม่มีข้อกีดกันทางการค้าใดๆกับผลิตภัณฑ์สินค้าไหม
4. แนวคิดเรื่อง — green หรือการรักษาสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในตลาดสหรัฐฯ ผลิตภัณฑ์จากไหมมีคุณสมบัติพร้อมที่จะถูกนำเสนอว่าเป็น green textile หรือ green product หรือ eco friendly products ซึ่งในเรื่องนี้สอดคล้องกับข้อคิดและข้อเสนอแนะของ Mr. Antero Hyvarinen, Senior Market Development Officer ของ International Trade Center ที่ว่า ควรจะมีการสร้างภาพพจน์ของสินค้าไหมขึ้นมาใหม่ว่าเป็น environmentally friendly ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบันมากที่สุด และในปัจจุบันมีผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ไหมบางรายเริ่มนำเอาคอนเซ็ปนี้ไปใช้ในการโฆษณาสินค้าของตน
5. ไหมเป็นเส้นใยธรรมชาติที่ไม่ระคายเคืองผิวหนังเหมาะกับผู้ที่แพ้เส้นใยสังเคราะห์หรือขนสัตว์ หากเร่งประชาสัมพันธ์คุณสมบัตินี้จะช่วยขยายตลาดได้โดยมุ่งไปที่ผู้บริโภคที่แพ้เส้นใยสังเคราะห์หรือที่ต้องการใช้เส้นใยธรรมชาติ
6. กาวไหมหรือ serasin ที่สกัดจากไหมมีคุณสมบัติไม่ระคายเคืองผิว ผลิตภัณฑ์ที่ผสม serasin เช่น สบู่ แชมพู ครีมทาผิว จะมีโอกาสมากในหมวดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ควรจะมีการส่งเสริมสนับสนุนอย่างจริงจัง
ที่มาข้อมูล
1. กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ
2. WTA (World Trade Atlas)
3. International Trade Forum
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นครลอสแอนเจลิส
ที่มา: http://www.depthai.go.th