1. จำนวนการผลิตรถยนต์ของประเทศญี่ปุ่นแบ่งแยกตามผู้ผลิต ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2553
Passenger Cars Trucks Buses Grand Total Standard Small Mini Total Standard Small Mini Total Large Small Total TOYOTA 235,899 83,081 - 318,980 10,148 9,815 - 19,963 - 8,338 8,338 347,281 NISSAN 43,602 44,957 - 88,559 4,971 5,766 - 10,737 - 607 607 99,903 MAZDA 66,061 17,260 - 83,321 28 2,649 - 2,677 - - - 85,998 MITSUBISHI 40,436 7,699 10,863 58,998 214 316 7,009 7,539 - - - 66,537 ISUZU - - - - 13,375 2,587 - 15,962 288 4 292 16,254 DAIHATSU - 5,439 48,976 54,415 180 - 11,163 11,343 - - - 65,758 HONDA 22,712 53,681 10,555 86,948 - 130 6,693 6,823 - - - 93,771 SUBARU 37,483 - 4,406 41,889 - - 5,269 5,269 - - - 47,158 UD TRUCKS - - - - 1,565 750 - 2,315 115 - 115 2,430 HINO - - - - 8,152 227 - 8,379 535 53 588 8,967 SUZUKI 17,648 12,630 60,555 90,833 - 960 13,141 14,101 - - - 104,934 GM JAPAN - - - - - - - - - - - - MITSUBISHI FUSO - - - - 4,781 760 - 5,541 227 393 620 6,161 Others - - - - 119 - - 119 - - - 119 TOTAL 463,841 224,747 135,355 823,943 43,533 23,960 43,275 110,768 1,165 9,39 5 10,560 945,271 ข้อมูลจาก Japan Automobile Manufacturer Association 2009 2. ภาวะตลาดในเดือนพฤษภาคม 2553 สมาพันธ์ผู้ผลิตรถยนต์ประเทศญี่ปุ่น (JAMA) เปิดเผยข้อมูลด้านการผลิต การจำหน่าย และการส่งออกในปี 2552 (ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดลง ณ เดือนมีนาคม 2553) ว่า ผู้ผลิตหลักของญี่ปุ่นจำนวน 8 รายมีจำนวนการผลิตรถยนต์ที่ลดลง ร้อยละ 10.3 หรือ ราว 8.55 ล้านคัน ซึ่งนับว่ายอดการผลิตรถยนต์ในประเทศโดยรวมลดลงติดต่อกันเป็นปีที่ 2 แล้ว ซึ่งเหตุสำคัญคือ การส่งออกที่ลดลง และการขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจใหม่ อาทิ ประเทศจีน (ซึ่งเป็นตลาด รถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 สูงกว่าสหรัฐฯ) จากสถานการณ์ปัจจุบันญี่ปุ่นได้ผลิตรถยนต์จำนวนน้อยที่สุดในรอบ 32 ปี ส่วนการส่งออกก็มีจำนวนต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันการผลิตนอกประเทศ กลับปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.114 ล้านคันหรือ สูงขึ้นถึงร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับปีที่ ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดในประเทศญี่ปุ่นเองเป็นตลาดที่มีความสำคัญลำดับรอง โดยทั้งโตโยต้าและนิสสันเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ญี่ปุ่น ในประเทศจีน 3. ความเคลื่อนไหวที่สำคัญในตลาดรถยนต์ญี่ปุ่น สำนักข่าวนิเกอิ เปิดเผยว่าสถานการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯ ส่งผลให้บริษัทฮอนด้ามอเตอร์ (ประเทศไทย) จำต้องหยุดการผลิตจากโรงงานที่จังหวัดอยุธยาซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และจักรยานยนต์ ไว้เป็นการชั่วคราว เพื่อความ ปลอดภัยของพนักงานในโรงงาน โดยบริษัทฯได้โอนถ่ายการ ธุรกรรมต่างๆรวมถึงการบริหารและผลิตชิ้นส่วนฯไปยังโรงงานใกล้เคียง อนึ่ง ฮอนด้ามอเตอร์ (ประเทศไทย) เป็นสำนักงานที่ดูแลธุรกิจของฮอนด้าใน เอเชีย-แปซิฟิค ทั้งหมด นายอากิโอ โตโยดะ ประธานบริษัทโตโยต้า ได้แถลงอย่างเป็นทางการว่า โตโยต้าได้ บรรลุถึงข้อตกลงร่วมกันกับ บริษัทเทสลาร์ ของสหรัฐซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้า ซึ่งบริษัททั้งสองมีแผนที่จะพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้าและ กำหนดมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต นอกจากนี้บริษัททั้งสองยังหวังว่ารถยนต์ไฟฟ้าพลัง Fuel cell นี้อาจจะสามารถจำหน่ายสู่ท้องตลาดได้ภายในปี 2012 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมรถยนต์วิเคราะห์การร่วมทุน บริษัทโตโยต้าในอเมริกาในช่วงระยะเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดปัญหาการเรียกรถยนต์โตโยต้า หลายรุ่นคืนในตลาด สหรัฐอเมริกา ว่าน่าจะเป็นการส่งสัญญาณของโตโยต้าเพื่อให้ตลาดได้เห็นว่า เหตุการณ์ที่เลวร้ายต่างๆ ของ โตโยต้าได้ผ่านพ้นไป แล้ว และบริษัทก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ อีกทั้งยังสามารถขยายการลงทุนในสหรัฐฯได้อีก การลงทุนของโตโยต้าในครั้งนี้น่าจะส่ง ผลในเชิงจิตวิทยาในด้านบวกต่อผู้บริโภคและนักลงทุนสหรัฐฯ เทียบเท่ากับการแสวงหาตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ ส่วนบริษัทใหม่ที่ร่วมทุนนั้น จะตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอเนีย ที่โรงงาน NUMMI (New United Motor Manufacturing, Inc.) ซึ่งเดิมทีเป็นโรงงานของบริษัทร่วมทุนระหว่าง เจเนอรัลมอเตอร์และโตโยต้า ซึ่งโต โยต้าสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่ง ปลูกสร้างเดิมรวมถึงทรัพยากรบุคคลที่มีประสบการณ์จำนวนมากในหน่วยงานดังกล่าว ที่ยังว่างงานภายหลังการปิดตัวของ NUMMI อนึ่งโตโยต้าและเทสลาร์มีแผนที่จะผลิตรถยนต์รุ่น Tesla Model S รถซีดานไฟฟ้ายอดนิยมของบริษัทฯ ที่โรงงานแห่งนี้ 4. บริษัท U-SHIN ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ มีแผนที่จะเปิดโรงงานแห่งที่ 2 ในประเทศไทย บริษัทยู-ชิน ผู้ผลิตชิ้นส่วนสวิทช์ แผงควบคุม แผงวงจรควบคุมเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ จากประเทศญี่ปุ่น มีแผนจะ ตั้งโรงงานแห่งที่สองในประเทศไทย โดยแห่งแรกอยู่ที่อำเภอ ปลวกแดง จังหวัดระยองซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี 2544 แล้ว และปัจจุบัน ความต้องการของตลาดเกินกว่าขีดความสามารถของโรงงาน จึงมีความจำเป็นต้องขยายโรงงาน ซึ่งการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการ ดังกล่าวจะมีมูลค่าราว 2 พันล้านเยน อนึ่งการเปิดโรงงานแห่งใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการควบรวมโรงงานจำนวนสองแห่งใน จังหวัดฮิโรชิม่าของบริษัทเพื่อลดต้นทุน และตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตและการจัดการ ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของบริษัทส่วนใหญ่จะผลิตเพื่อป้อนโรงงานแห่งใหม่ของซูซูกิมอเตอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งจะเปิดตัวราว ปี 2554 โดยรถยนต์ที่ผลิตจะมุ่งเป้าไปที่รถยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในปัจจุบัน หลังจากโรงงานแห่งที่สอง สร้างเสร็จ บริษัทฯจะสามารถขยายการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ฯดังกล่าวได้ถึง 2 เท่า สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นคร โอซากา ที่มา: http://www.depthai.go.th