เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดน่านน้ำในอ่าวเม็กซิโกประมาณ 1 ใน 3 คิดเป็นบริเวณที่ห้ามทำประมงถึง 88,502 ตารางไมล์ (229,219 ตารางกิโลเมตร) หรือประมาณ 37% ของน่านน้ำอ่าวเม็กซิโก ซึ่ง National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA) แจ้งสาเหตุของการปิดครั้งนี้ว่า เป็นมาตรการป้องกัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า อาหารทะเลจากอ่าวที่น้ำมันรั่วนี้จะปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค เขตสำคัญที่ถูกปิดไปด้วยครั้งนี้ คือบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของฟลอริดา ซึ่งรวมไปถึงน่านน้ำทางตะวันตกของหมู่เกาะ Dry Tortugas ตามรายงานคาดการณ์ของ NOAA น้ำมันรั่วกินอาณาเขตไปประมาณ 7 ไมล์ (11 กิโลเมตร) นอกฝั่งฟลอริดา
NOAA ได้ประกาศเปิดน่านน้ำทางตะวันตกของเขตแดนด้านใต้ Louisiana 2,637 ตารางไมล์ (6,830 ตารางกิโลเมตร) เพราะยังไม่พบคราบน้ำมันตามที่คาดว่าน้ำมันรั่วจะลามมาถึง
ตั้งแต่ที่ขุดเจาะน้ำมันใต้น้ำ (Deepwater Horizon Rig) ระเบิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2553 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน และเป็นที่เกรงกันว่าน้ำมันอย่างน้อย 20 ล้านแกลลอนจะทะลักในอ่าวเม็กซิโก หลังจาก BP ได้พยายามอย่างหนักในการอุดรอยรั่วแต่ไม่สำเร็จ
เจ้าหน้าที่ NOAA แถลงว่า จะใช้มาตรการป้องกันทุกวิถีทาง เพื่อให้มั่นใจว่า ปลาและอาหารทะเลที่ได้รับผลจากน้ำมัน จะไม่รั่วไหลออกไปสู่ตลาดได้ โดยได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ หน่วยงาน FDA สหรัฐฯ และของรัฐท้องถิ่น เพื่อให้แน่ใจในความปลอดภัยของอาหารทะเล การปิดน่านน้ำที่มีความเสี่ยงในการทำประมงบริเวณที่อาหารทะเลได้รับผลจากน้ำมันรั่ว ตลอดจนมีการตรวจสอบว่าอาหารทะเลที่จับได้นั้น มีอัตราส่วนน้ำมันที่รับเข้าไปสูงถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภคหรือไม่
ในช่วงปี 2008 (2551) ชาวประมงเชิงพาณิชย์ในอ่าวเม็กซิโก มีผลผลิตมากกว่า 1 พันล้านปอนด์ และชาวประมงจำนวน 5.7 ล้านคน ออกเรือมากกว่า 25 ล้านเที่ยวในอ่าวเม็กซิโก
เหตุการณ์ในปัจจุบัน ยังอาจมีการพิจารณาปิดน่านน้ำเพิ่มขึ้นอีก หากพบว่าการไหลของน้ำมันรั่วไปในทิศทางใด ขณะนี้รัฐบาลกำลังประเมินความเสียหายทั้งหมด ซึ่งคาดว่า BP จะต้องรับผิดชอบ
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในปีนี้ คือ ราคาอาหารทะเลจะสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณอุปทานที่ลดลง และจะทำให้การนำเข้าอาหารทะเลเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
ที่มา: http://www.depthai.go.th