ตลาดสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบในสหรัฐอเมริกา

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday June 8, 2010 15:15 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ขนาดของตลาด

ภาวะตลาด

สัดส่วนตลาดของรถยนต์ในสหรัฐฯ

1. ผู้ผลิตรถยนต์ Top 5 ของสหรัฐฯ คือ General Motor, Toyota, Ford, Chrysler และ Honda

2. General Motor และ Chrysler สูญเสียตลาดรถยนต์ให้แก่รถยนต์ญี่ปุ่น

3. Ford เป็นผู้ผลิตสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้น

4. ปัจจุบัน Toyota ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับที่ 2 ของสหรัฐฯ มีสัดส่วน ตลาดร้อยละ 16.3 และ Honda เป็นอันดับที่ 5 มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 10.5

การผลิตรถยนต์

การผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ขยายตัวในช่วงมกราคม - เมษายน 2553 มีจำนวน 2,515,611คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.50 จากช่วงเดียวกันของปี 2552 การผลิตแยกออกเป็นรถยนต์โดยสาร (Passenger Cars) จำนวน 944,370 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.90 รถบรรทุกขนาดเบา (Light Trucks) จำนวน 1,521,601 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.10 และรถบรรทุกใช้งานหนัก (Medium/Heavy Duty Truck) จำนวน 49,460 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8

การผลิตรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2553

หน่วย : คัน

          ประเภทรถ                   มกราคม — เมษายน          อัตราการ
                                      2553       2552        ขยายตัว (%)
     1. U.S. Passenger Cars         944,370    565,779         66.90
     2. U.S. Light Trucks         1,521,601    974,455         56.10
           Total Light Vehicles   2,465,971  1,540,234         60.10
     3. U.S. Med./Hvy. Trucks        39,460     46,458         -2.20
           Total U.S. Vehicles    2,515,611  1,586,692         58.50
     ที่มา: Ward Automotive Key Data Report, May 2010


2. การค้าในประเทศและการขายปลีก
          ยอดจำหน่ายรถขนาดเบา (Light Vehicle Sales) ของสหรัฐฯ (เฉพาะในประเทศ) ใน เดือนเมษายน 2553 มีจำนวน 982,131 คัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 19.8
          - Nissan มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 35
          - Honda มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 12
          - Ford มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 25
          - Chrysler มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 24
          - Toyota มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 24
          - GM มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7
          รถยนต์ Asian มียอดจำหน่ายขยายตัวสูง จึงเป็นผลให้สัดส่วนตลาดรถยนต์ Asian เพิ่ม ขึ้นเป็นร้อยละ 46.5 ในเดือนเมษายน 2553

3. ระดับราคาขายปลีกรถยนต์
          สมาคม American International Automobile Dealers Association ของสหรัฐฯ คาดว่า ราคาจำหน่ายรถยนต์ (Sticker Price) รุ่น 2010 ที่ผลิตในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 -12  ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของรถยนต์  ในขณะที่รถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 ด้วยเหตุผลจาก ภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ได้แนะนำรถรุ่นใหม่ การใช้เทคโนโลยี่เพิ่มความปลอดภัย  การประหยัดน้ำมัน และ การเพิ่มอุปกรณ์ให้ความสะดวกสบายต่างๆ

ราคาขายปลีกรถยนต์ รุ่นปี 2010 ที่ได้รับความนิยมในตลาด 10 อันดับ
                 หน่วย: เหรียญสหรัฐฯ
      แบรนด์รถยนต์                 ราคาขายปลีก*
 1.  Ford F-150                 21,380-39,010
 2.  Toyota Camry               19,395-29,245
 3.  Honda Accord               21,055-29,305
 4.  Toyota Colora              15,350-18,860
 5.  Honda Civic                15,500-22,055
 6.  Honda CR-V                 21,545-27,745
 7.  Nissan Altima              19,190-29,380
 8.  Chevy Impala               23,890-29,630
 9.  Toyota Prius               21,000-27,270
10.  Ford Fusion                19,620-28,030
* ราคาขายปลีกยังไม่ร่วมค่าขนส่งและภาษีการค้า

4. ตลาดอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์
          การขยายตัวของตลาดจำหน่ายรถยนต์ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบทางตรงต่อการเพิ่มความต้องการอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์  สหรัฐฯ หันไปพึ่งการนำเข้าเป็นหลัก เนื่องจากกำลังผลิตในประเทศไม่เพียงพอ โรงงานผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ในสหรัฐฯ จำนวนมาก เลิกกิจการไป หรือย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
          การนำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาแรกของปี 2553 (มกราคม-มีนาคม) มีมูลค่า 22,216.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 42.97 โดยมีแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ เม็กซิโก แคนนาดา ญี่ปุ่น เยอรมนี เกาหลี และ จีน

การนำเข้าจากประเทศไทย
          การขยายตัวนำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ในอัตราสูงของสหรัฐฯ เป็นผลดี ต่อประเทศไทย ซึ่งเป็นผลให้เกิดการขยายตัวการนำเข้าของสหรัฐฯจากไทยเป็นเงาตามตัวไปด้วย โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 (มกราคม-มีนาคม) สหรัฐฯ นำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์จากประเทศไทยเป็นมูลค่า 395.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 91.91 และมีสัดส่วนตลาดนำเข้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์ในสหรัฐฯ ร้อยละ 1.78

          การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ของสหรัฐอเมริกาจากไทย
             เฉพาะรายการที่สำคัญ ในช่วง มกราคม - มีนาคม 2553
                         หน่วย:  ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์        มค-มีค 2553      มค-มีค 2552      เพิ่ม/ลด (%)
 1. ยางรถยนต์                        127.83         69.89           82.85
 2. วิทยุติดรถยนต์                       93.58         28.35          230.00
 3. ชิ้นส่วนรถยนต์                       54.81         36.34           50.84
 4. สายไฟรถยนต์                       24.73          7.85          214.00
 5. ลูกสูบเครื่องยนต์                     22.58         21.83            3.41
 6. พัดลดใช้กับเครื่องยนต์                 11.27          4.29          162.67
 7. คอมเพรสเซอร์รถยนต์                 15.09          7.14          111.31
 8. กลอนประตูรถยนต์                     9.54          6.26           14.33
 9. ไส้กรองอากาศ/น้ำมัน                  9.22          7.66           20.44
10. ชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซด์                  8.49          7.54           12.50
          อื่นๆ                        18.62          9.59           94.16
       รวมการเข้าจากไทย              395.79        206.74           91.91
ที่มา:  World Trade Atlas


5. มาตรการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี
          มาตรการภาษี:  สหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรรถยนต์นำเข้าและส่วนประกอบในอัตราต่ำ โดยเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าประมาณร้อยละ 0.00-25.00 และชิ้นส่วนประกอบประมาณร้อยละ  0.00-5.00  และให้สิทธิพิเศษ GSP  และ การเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti Dumping Duty) และค้นหาเพิ่มเติมได้จาก http://dataweb.usitc.gov)
          มาตรการไม่ใช่ภาษี  เป็นเรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อความปลอดภัย (Industry standards) มาตรฐานที่สำคัญ ได้แก่
          1. มาตรฐาน DOT : US Department of Transportation เน้นในด้านความปลอดภัย
          2. มาตรฐาน UL :  Universal Laboratories  สำหรับส่วนประกอบที่ใช้กับไฟฟ้า
          3. มาตรฐาน EPA : กำหนดโดย US Environment Protection Agency : EPA ควบคุมในเรื่องมาตรฐาน Greenhouse Gas Emissions และ Fuel Economy
          4. มาตรฐานกลุ่มประกันภัยรถยนต์สำหรับชิ้นส่วน Collision Parts
          มาตรฐานของ Auto Part  ชนิดต่างๆ ของสหรัฐฯ สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ได้จาก  Web Site ของหน่วยงานดังกล่าว ดังนี้
          -  The American National Standards Institute (ANSI)  www.ansi.org
          -  Society of Automotive Engineers (SAE)  www.sae.org
          -  Underwriters Laboratories (UL)  www.ul.com
          -  Department of Transportation (DOT)   www.dot.gov
          -  Environmental Protection Agency (EPA)  www.epa.gov
          -  Federal Communications Commission (FCC)   www.fcc.gov
          -  The Consumer Product Safety Commission (CPSC)  www.cpsc.gov
          -  Occupational Safety and Health Administration (OSHA) www.osha.gov

6. SWOT สินค้ายานยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบไทย
          จุดแข็ง
          1. แรงงานในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและยานยนต์มีการเรียนรู้และสั่งสมทักษะ ความชำนาญด้านการผลิตมาอย่างยาวนานจากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ประกอบการญี่ปุ่น
          2. ผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และยานยนต์ในไทยมีการกระจุกตัวและการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม (Cluster) อันเป็นผลดีในแง่ของการลดต้นทุน การวางแผนกลยุทธ์ร่วมกัน รวมถึงลดต้นทุนการขนส่งระหว่างกัน
          3. ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่มที่ผลิตชิ้นส่วนเพื่อป้อนโรงงานโดยตรง (Tier 1) มีการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างค่อนข้างใกล้ชิด และได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าสินค้าไทยมีคุณภาพ
          4. ภาครัฐมีนโยบายผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาค จึงมีการเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพของผู้ประกอบการไทย

          จุดอ่อน
          1. แรงงานและทรัพยากรบุคคลขาดทักษะด้านภาษาต่างประเทศซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อการ  รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติ และขาดความรู้และทักษะด้านการออกแบบ
          2. ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนไทยมีข้อจำกัดในการติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศ ขาดการวางแผนทางธุรกิจ รวมถึงการนำระบบการบริหารที่รวดเร็วทันต่อการเปลี่ยนแปลง และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ปรับปรุง และพัฒนาปัจจัยในด้านต่างๆ ขององค์กร เพื่อยกระดับให้เป็นที่ยอมรับจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในต่างประเทศ
          3. ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาด ย่อมจึงไม่มีศักยภาพในการเพิ่มหรือลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา
          4. เครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิต ยังต้องพึ่งพาต่างประเทศ  การทำวิจัย พัฒนา และการทำนวัตกรรมมีน้อย
          5. ขาดการผลักดันและส่งเสริมการใช้ Brand Name ของตนเองในการขยายตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (แบบ Replacement) จึงมีการใช้ชื่อตราสินค้า (Brand) ของตนเองน้อยมาก
          6. ขาดหน่วยงาน อุปกรณ์ เครื่องมือ ด้านการให้บริการตรวจสอบ ทดสอบ และอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่น้อย ไม่ครบถ้วนตามข้อกำหนด เก่า และ ล้าสมัย จึงไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนตามมาตรฐานของสหรัฐฯ ได้
          7. สหรัฐฯ เป็นตลาดที่คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นข้อจำกัดของสินค้าลอกเลียนแบบ สินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ไทย บางส่วนจะมีโอกาสในตลาดที่ไม่มีความเข้มแข็งในเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

          โอกาส
          1. ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนของไทย โดยภาพรวมผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และมีแนวโน้มไม่นิยมซื้อรถใหม่แต่จะใช้รถคันเดิมหรือซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งมีราคาต่ำกว่าแม้จะมีปัญหาจุกจิกจากการซ่อมบำรุง ดังนั้นความต้องการอะไหล่รถยนต์จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น เป็นโอกาสและส่งผลดีต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (Replacement Equipment Manufacturing ) ของไทย
          2. สินค้าชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีพื้นฐานจากยางธรรมชาติเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีความต้องการในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลก
          3. การผลักนโยบายการค้าเสรี ( Free Trade Area : FTA) ของรัฐบาลกับประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐฯ เพื่อการชักจูงให้มีการย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทยมากขึ้น

          อุปสรรค
          1. การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะจีนซึ่งสามารถพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีของตนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และก้าวหน้ากว่าประเทศไทย และ เวียดนามเป็นแหล่งผลิตที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำ
          2. ค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ที่ส่งออกมายังตลาดสหรัฐฯมีราคาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการสูญเสียตลาดในสหรัฐฯ
          3. ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เช่น ราคาเม็ดพลาสติก และ โลหะเหล็กสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และ การส่งออกลดลง
          4. ราคาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบ การช่วงชิงสัดส่วนตลาดสินค้าในสหรัฐฯ เนื่องจากทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่งขัน


          สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก

          ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ