1.1 การผลิต: การผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ แยกเป็นสองส่วน คือ รถยนต์ที่ผลิตในประเทศสหรัฐฯ และ รถยนต์สหรัฐฯที่นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายในช่วงมกราคม — พฤษภาคม 2553 จำนวน 4,953,849 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 67.60 จากช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยแยกเป็น รถยนต์ผลิตในสหรัฐฯ จำนวน 3,169,480 หรือมีจำนวนการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.50 และ นำเข้าจากประเทศแคนาดาและเม็กซิโก จำนวน 1,748,369 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.86
การผลิตรถยนต์ มกราคม — พฤษภาคม (คัน) อัตราการ 2553 2552 ขยายตัว (%) 1. รถยนต์ผลิตในสหรัฐฯ 3,169,480 1,938,372 63.50 2. รถยนต์สหรัฐฯนำเข้า* 1,748,369 1,017,276 71.86 รวมการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ 4,953,849 2,955,648 67.60 * เป็นรถยนต์นำเข้าโรงงานของผู้ผลิตสหรัฐฯในประเทศเม็กซิโกและแคนาดา นอกจากนั้นแล้ว การผลิตยังแยกตามประเภทรถออกเป็น รถยนต์โดยสาร (Passenger Cars) จำนวน 2,140,681 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.20 รถบรรทุกขนาดเบา (Light Trucks) จำนวน 2,717,575 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.80 และรถบรรทุกใช้งานหนัก (Medium/Heavy Duty Truck) จำนวน 95,593 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.90 การผลิตรถยนต์ มกราคม — พฤษภาคม (คัน) อัตราการ 2553 2552 ขยายตัว (%) 1. รถยนต์โดยสาร (Passenger Cars) 2,140,681 1,311,912 63.2 2. รถบรรทุกขนาดเบา (Light Trucks) 2,717,575 1,563,305 73.8 3. รถบรรทุกใช้งานหนัก 95,593 80,431 18.9 รวมการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ 4,953,849 2,955,648 67.60 ที่มา: Ward Automotive Key Data Report, June 2010 1.2 ผู้ผลิตรถยนต์ : ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553(มกราคม-พฤษภาคม) ผู้ผลิตกลุ่ม BIG 3 ของสหรัฐฯ (General Motor, Ford และ Chrysler) ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดการผลิตรถยนต์อันดับที่หนึ่ง สอง และ สามตามลำดับ โดยบริษัท General Motor ยังคงเป็นผู้นำการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ครองตลาดร้อยละ 22.90 บริษัท Ford มีสัดส่วนตลาดลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาอันดับที่ 2 ร้อยละ 19.07 บริษัท Chrysler ก้าวขึ้นมาอันดับที่ 3 มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 13.04 และ ทำให้บริษัท Toyota ลดลงไปเป็นอันดับที่ 5 ซึ่งมีสัดส่วนตลาดลดลงเหลือร้อยละ 10.25 และ บริษัท Honda ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตอันดับที่ 4 แทน มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 11.11 2. การค้าในประเทศและการขายปลีก ยอดจำหน่ายรถในสหรัฐฯ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553 (มกราคม-พฤษภาคม) เป็นจำนวน 4,630,284 คัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 17.24 การจำหน่ายรถของสหรัฐฯ ในช่วงมกราคม-พฤษภาคม 2553 หน่วย: คัน การจำหน่ายรถยนต์ มค-พค 2553 มค-พค 2552 ขยายตัว (%) รถผลิตในประเทศ 2,503,819 2,182,648 14.71 รถนำเข้าจากต่างประเทศ 2,099,465 1,766,691 18.83 รวมยอดจำหน่ายรถยนต์ 4,630,284 3,949,339 17.24
General Motor, Ford และ Toyota ยังคงครองความเป็นผู้นำในการจำหน่ายรถ โดยบริษัท General Motor จำหน่ายรถเป็นจำนวน 882,277 คัน มีสัดส่วนตลาด ร้อยละ 19.05 บริษัท Ford จำหน่ายรถเป็นจำนวน 805,662 และมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 17.40 และบริษัท Toyota มียอดจำหน่าย 705,938 คัน และมีสัดส่วนตลาดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.25
ปัจจุบัน รถยนต์จากบริษัทเอเซียมีสัดส่วนตลาดการขายรวมกันร้อยละ 46.13 และก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาด แทนกลุ่ม BIG 3 ซึ่งตกเป็นอันดับที่ 2 มีสัดส่วนตลาดจำหน่ายร้อยละ 45.84
การจำหน่ายรถยนต์ของสหรัฐฯ ในช่วงมกราคม -พฤษภาคม 2553
ผู้ผลิตรถยนต์ มกราคม — พฤษภาคม (คัน) เพิ่ม/ลด สัดส่วนตลาด(%) 2553 2552 53/52(%) 2553 2552 General Motors Corp. 882,277 768,126 14.9% 19.05 19.45 Ford Motor Company 805,662 618,369 30.3% 17.40 15.66 Toyota Motor Sales U.S.A. Inc. 705,938 638,795 10.5% 15.25 10.20 American Honda Motor Co. Inc. 487,282 430,358 13.2% 10.52 16.17 Chrysler LLC 434,737 402,900 7.9% 9.39 10.90 Nissan North America Inc. 375,762 289,446 29.8% 8.12 7.33 Hyundai Motor America 204,577 166,743 22.7% 4.42 2.76 Volkswagen Group of America Inc. 145,468 108,991 33.5% 3.14 0.56 Kia Motors America Inc. 138,164 120,559 14.6% 2.98 2.19 Mazda Motor of America Inc. 97,481 86,652 12.5% 2.11 4.22 Subaru of America Inc. 104,359 74,686 39.7% 2.25 2.37 BMW of North America Inc. 98,361 93,755 4.9% 2.12 1.97 Daimler AG 90,776 77,786 16.7% 1.96 1.89 Mitsubishi Motors N. A., Inc. 22,292 22,105 0.8% 0.48 3.05 Other Manufacturers 37,148 50,068 -25.8% 0.80 1.27 ยอดจำหน่ายรวมรถยนต์ 4,630,284 3,949,339 17.2% 100.00 100.00
สมาคม American International Automobile Dealers Association ของสหรัฐฯ คาดว่าราคาจำหน่ายรถยนต์ (Sticker Price) รุ่น 2010 ที่ผลิตในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 -12 ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของรถยนต์ ในขณะที่รถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 ด้วยเหตุผลจาก ภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ได้แนะนำรถรุ่นใหม่ การใช้เทคโนโลยี่เพิ่มความปลอดภัย การประหยัดน้ำมัน และ การเพิ่มอุปกรณ์ให้ความสะดวกสบายต่างๆ
ราคาขายปลีกรถยนต์ รุ่นปี 2010 ที่ได้รับความนิยมในตลาด 10 อันดับ
หน่วย: เหรียญสหรัฐฯ
แบรนด์รถยนต์ ราคาขายปลีก* แบรนด์รถยนต์ ราคาขายปลีก* 1. Ford F-150 21,380 - 39,010 6. Honda CR-V 21,545 - 27,745 2. Toyota Camry 19,395 - 29,245 7. Nissan Altima 19,190 - 29,380 3. Honda Accord 21,055 - 29,305 8. Chevy Impala 23,890 - 29,630 4. Toyota Colora 15,350 - 18,860 9. Toyota Prius 21,000 - 27,270 5. Honda Civic 15,500 - 22,055 10. Ford Fusion 19,620 - 28,030 * ราคาขายปลีกยังไม่ร่วมค่าขนส่งและภาษีการค้า 4. ตลาดอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ การขยายตัวของตลาดจำหน่ายรถยนต์ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบทางตรงต่อการเพิ่มความต้องการอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ สหรัฐฯ หันไปพึ่งการนำเข้าเป็นหลัก เนื่องจากกำลังผลิตในประเทศไม่เพียงพอ โรงงานผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ในสหรัฐฯ จำนวนมาก เลิกกิจการไป หรือย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย การนำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ของสหรัฐฯ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2553 (มกราคม - เมษายน) มีมูลค่า 30,356.44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 42.74 โดยมีแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ เม็กซิโก แคนนาดา ญี่ปุ่น เยอรมนี เกาหลี และ จีน การขยายตัวนำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ในอัตราสูงของสหรัฐฯ เป็นผลดีต่อประเทศไทย ซึ่งเป็นผลให้เกิดการขยายตัวการนำเข้าของสหรัฐฯ จากไทยเป็นเงาตามตัวไปด้วย โดยสหรัฐฯ นำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์จากประเทศไทยเป็นมูลค่า 593.41ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 106.36 และมีสัดส่วนตลาดนำเข้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์ในสหรัฐฯ ร้อยละ 1.79 การนำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ของสหรัฐอเมริการะหว่างเดือนมกราคม - เมษายน 2553 หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐฯ รหัส สินค้า* มกราคม - เมษายน อัตราการขยายตัว ศุลกากร 2553 2552 2551 53/52 52/51 4011 New Pneumatic Tires 2,913.29 2,421.22 3,150.15 20.32 -23.14 401693 Gskt,Washr,Etc,Vulc 431.547 311.638 496.03 38.48 -37.17 6813 Brake Pad & Lining 45.71 39.40 42.59 16.02 -7.79 7007 Safety,Temper/Laminat 165.08 198.48 216.65 -0.17 -0.08 7320 Spring+Leaves F Sprng 211.84 167.21 285.72 26.69 -41.18 830120 Motor Vehicle Locks 131.22 65.22 119.88 101.19 -45.60 830230 O Mnt,Ftt,Et F M Vh 324.39 176.58 382.39 83.71 -53.82 8407 Piston Engins,Int Com 2,128.76 1,532.53 2,814.47 38.90 -45.55 8409 Parts Engns 8407,8408 2,126.69 1,540.53 2,788.37 38.06 -44.76 841330 Cooling Int Comb En 521.04 350.52 448.62 48.65 -21.87 841459 Fans, Other 302.60 238.30 362.91 26.99 -34-34 841520 Autmtv Air Conditnr 24.71 13.10 41.22 88.66 -68.23 841430 Vehicle Compressor for A/C 428.84 278.55 471.19 53.95 -40.88 842123 Oil/Fuel Filters 153.00 117.24 147.32 30.51 -20.42 842139 Ot Gas Filtr/Purify 557.04 479.26 861.22 20.40 -44.35 848310 Trns Shft,Inc Ca+Cr 326.05 278.42 453.93 17.11 -38.67 848330 Bearing Housings 178.22 135.95 178.88 31.09 -24.00 848340 Gears;Bll/Rll Screw 530.36 602.41 700.23 -11.96 -13.97 848350 Flywheels,Pulleys 142.51 97.00 157.39 46.95 -38.37 848360 Clutches,Couplings 96.45 72.81 108.95 32.47 33.17 848390 Chain Sprockets 354.05 356.05 496.23 -0.05 -24.12 850710 Strt Eng Ld-Ac Batt 208.49 162.65 216.59 -28.18 24.90 850730 Nick-Cadm Stor Batt 75.37 74.19 96.17 1.60 -22.86 8511 Ign,Etc Eq;Generatr 927.37 682.12 1042.89 35.96 -34.59 8512 Lights;Windshield Eqp 845.90 566.14 904.17 49.00 -37.39 852721 Rec F Mt Veh W Rcrd 658.18 281.35 646.57 133.94 -56.49 854430 Veh,Etc Ins Wir Set 1,846.33 1,033.69 2,046.59 78.61 48.49 8707 Motor Vehicl Bodies 216.22 215.40 307.54 42.00 -29.96 8708 Part/Access 8701-8705 13,060.81 8,331.22 14,977.27 56.77 -44.37 940120 Motor Vehicles Seat 48.47 26.34 58.70 84.04 55.13 8714 Part,Access 8711-8713 355.89 422.20 458.66 -15.71 -7.95 Total 30,356.44 21,267.57 35,452.46 42.74 -40.01 ที่มา : World Trade Atlas หมายเหตุ: * เป็นสินค้าที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จัดให้เข้าอยู่ในกลุ่ม Automotive Parts การนำเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ของสหรัฐอเมริกาจากไทย เฉพาะรายการที่สำคัญ ในช่วง มกราคม — เมษายน 2553 หน่วย: ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ม.ค.-เม.ย. 2553 ม.ค.-เม.ย. 2552 เพิ่ม/ลด (%) 1. ยางรถยนต์ 213.76 119.75 78.47 2. วิทยุติดรถยนต์ 125.82 30.80 308.51 3. ชิ้นส่วนรถยนต์ 73.10 45.66 60.09 4. สายไฟรถยนต์ 52.67 12.45 167.36 5. ลูกสูบเครื่องยนต์ 29.66 25.50 16.31 6. พัดลดใช้กับเครื่องยนต์ 15.19 6.15 142.02 7. คอมเพรสเซอร์รถยนต์ 25.45 9.56 166.21 8. กลอนประตูรถยนต์ 11.71 7.35 59.15 9. ไส้กรองอากาศ/น้ำมัน 12.53 9.75 28.50 10. หัวเทียน 11.79 10.29 14.62 อื่นๆ 21.73 10.31 110.77 รวมการเข้าจากไทย 593.41 287.57 106.36 ที่มา: World Trade Atlas 5. มาตรการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี มาตรการภาษี: สหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรรถยนต์นำเข้าและส่วนประกอบในอัตราต่ำโดยเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าประมาณร้อยละ 0.00-25.00 และชิ้นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 0.00-5.00 และให้สิทธิพิเศษ GSP และ การเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti Dumping Duty) และค้นหาเพิ่มเติมได้จาก http://dataweb.usitc.gov) มาตรการไม่ใช่ภาษี: เป็นเรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อความปลอดภัย (Industry standards) มาตรฐานที่สำคัญ ได้แก่ 1. มาตรฐาน DOT: US Department of Transportation เน้นในด้านความปลอดภัย 2. มาตรฐาน UL: Universal Laboratories สำหรับส่วนประกอบที่ใช้กับไฟฟ้า 3. มาตรฐาน EPA: กำหนดโดย US Environment Protection Agency : EPA ควบคุมในเรื่องมาตรฐาน Greenhouse Gas Emissions และ Fuel Economy 4. มาตรฐานกลุ่มประกันภัยรถยนต์สำหรับชิ้นส่วน Collision Parts ข้อมูลเพิ่มเติมของมาตรฐานของ Auto Parts ชนิดต่างๆ ของสหรัฐฯ ดังนี้ - The American National Standards Institute (ANSI) www.ansi.org - Society of Automotive Engineers (SAE) www.sae.org - Underwriters Laboratories (UL) www.ul.com - Department of Transportation (DOT) www.dot.gov - Environmental Protection Agency (EPA) www.epa.gov - Federal Communications Commission (FCC) www.fcc.gov - The Consumer Product Safety Commission (CPSC) www.cpsc.gov 6. SWOT สินค้ายานยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบไทย จุดแข็ง 1. แรงงานในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและยานยนต์มีการเรียนรู้และสั่งสมทักษะ ความชำนาญด้านการผลิตมาอย่างยาวนานจากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการต่างชาติโดยเฉพาะผู้ประกอบการญี่ปุ่น 2. ผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และยานยนต์ในไทยมีการกระจุกตัวและการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม(Cluster) อันเป็นผลดีในแง่ของการลดต้นทุน การวางแผนกลยุทธ์ร่วมกัน รวมถึงลดต้นทุนการขนส่งระหว่างกัน 3. ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่มที่ผลิตชิ้นส่วนเพื่อป้อนโรงงานโดยตรง (Tier 1) มีการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างค่อนข้างใกล้ชิด และได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าสินค้าไทยมีคุณภาพ 4. ภาครัฐมีนโยบายผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาค จึงมีการเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพของผู้ประกอบการไทย จุดอ่อน 1. แรงงานและทรัพยากรบุคคลขาดทักษะด้านภาษาต่างประเทศซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติ และขาดความรู้และทักษะด้านการออกแบบ 2. ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจึงไม่มีศักยภาพในการเพิ่มหรือลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา 3. เครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิต ยังต้องพึ่งพาต่างประเทศ การทำวิจัย พัฒนา และการทำนวัตกรรมมีน้อย 4. ขาดการผลักดันและส่งเสริมการใช้ Brand Name ของตนเองในการขยายตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (แบบ Replacement) จึงมีการใช้ชื่อตราสินค้า (Brand) ของตนเองน้อยมาก 5. ขาดหน่วยงาน อุปกรณ์ เครื่องมือ ด้านการให้บริการตรวจสอบ ทดสอบ และอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่น้อย ไม่ครบถ้วนตามข้อกำหนด เก่า และ ล้าสมัย จึงไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนตามมาตรฐานของสหรัฐฯ ได้ 6. สหรัฐฯ เป็นตลาดที่คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นข้อจำกัดของสินค้าลอกเลียนแบบสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ไทย บางส่วนจะมีโอกาสในตลาดที่ไม่มีความเข้มแข็งในเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โอกาส 1. ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนของไทย โดยภาพรวมผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และมีแนวโน้มไม่นิยมซื้อรถใหม่แต่จะใช้รถคันเดิมหรือซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งมีราคาต่ำกว่าแม้จะมีปัญหาจุกจิกจากการซ่อมบำรุง ดังนั้นความต้องการอะไหล่รถยนต์จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น เป็นโอกาสและส่งผลดีต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทนของไทย 2. สินค้าชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีพื้นฐานจากยางธรรมชาติเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีความต้องการในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลก 3. การผลักนโยบายการค้าเสรี ( Free Trade Area : FTA) ของรัฐบาลกับประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐฯ เพื่อการชักจูงให้มีการย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทยมากขึ้น อุปสรรค 1. การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะจีนซึ่งสามารถพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีของตนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และก้าวหน้ากว่าประเทศไทย และ เวียดนามเป็นแหล่งผลิตที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำ 2. ค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ที่ส่งออกมายังตลาดสหรัฐฯมีราคาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการสูญเสียตลาดในสหรัฐฯ 3. ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เช่น ราคาเม็ดพลาสติก และโลหะเหล็กสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และ การส่งออกลดลง 4. ราคาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อ ราคาวัตถุดิบ การช่วงชิงสัดส่วนตลาดสินค้าในสหรัฐฯ เนื่องจากทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่งขัน สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก ที่มา: http://www.depthai.go.th