รัฐบาลอินเดียได้เริ่มการพิจารณาการเปิดเสรีการค้าปลีกเพื่อให้ต่างชาติสามารถเข้าไปดำเนินธุรกิจค้าปลีกในอินเดียได้
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียได้ประกาศว่าจะเริ่มพิจารณาและรับฟังความคิดเห็นถึงความเป็นไปได้ในการเปิดให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้าไปลงทุนในห้างค้าปลีกในอินเดียได้อย่างเสรี ด้วยเหตุผลที่ว่าการลงทุนจากต่างชาติจะช่วยเปิดช่องทางการตลาดและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ลดปัญหาเงินเฟ้อ ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และก่อให้เกิดการสร้างงานจำนวนมาก
แนวคิดดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสการตอบรับอย่างกว้างขวางในบรรดาบริษัทข้ามชาติอย่างคาร์ฟูร์ วอลมาร์ต และวูลเวอร์ตส์ ที่ต้องการขยายการดำเนินธุรกิจในอินเดีย แม้แต่บริษัทท้องถิ่นอย่าง Future Group และ Aditya Birla Retail ก็เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว
ปัจจุบันอินเดียยังห้ามต่างชาติทำธุรกิจค้าปลีก แต่สามารถทำได้หากเป็นการค้าปลีกแบบยี่ห้อเดียว เช่น ร้านบาจา แต่หากเป็นห้างที่ขายจำนวนมากๆ อย่างค้าส่ง และ cash-and-carry ก็ต้องเป็นการร่วมทุนโดยต่างชาติถือหุ้นข้างน้อย เช่นคาร์ฟูร์ (ที่กรุงนิวเดลี) วอลมาร์ต (ใช้ชื่อในอินเดียว่า Best Price Modern Wholesale โดยการร่วมทุนกับ Bharti Enterprises ตั้งอยู่ที่เมืองอมฤตษา) เมโทร เอจี (เมืองบังกะลอร์) เทสโก้ (ร่วมทุนกับทาทา ตั้งอยู่ที่เมืองบังกะลอร์) และวูลเวอร์ตส์ (บริษัทออสเตรเลียร่วมทุนกับทาทาดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า)
สิ่งที่อินเดียต้องพิจารณาก็คือเงื่อนไขการดำเนินธุรกิจที่จะไม่ทำให้กระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ รวมทั้งกระแสการต่อต้านของพรรคการเมือง เช่น BJP และพรรคคอมมูนิสต์ที่อ้างว่าร้านค้าปลีกรายย่อยทีมีกว่า 13 ล้านแห่งจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงแน่นอน ทั้งนี้เงื่อนไขแรกๆ ที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาก็คือทำเลที่ตั้งที่ควรจะจะอยู่ชานเมือง เป็นเมืองที่มีประชากรไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน และห้างควรจะซื้อผลผลิตจากท้องถิ่นมากน้อยเพียงใด เป็นต้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกรายย่อย และช่วยเปิดช่องทางตลาดให้กับเกษตรกรท้องถิ่น
นายไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ ผอ. สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ เมืองเจนไนให้ความเห็นว่า ธุรกิจค้าปลีกของอินเดียใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก โดยปัจจุบันห้างที่ทันสมัยได้มาตรฐานมีเพียง 5% ของตลาด ทั้งนี้คาดว่า ห้างที่ได้มาตรฐานจะขยายตัวปีละ 40% เพิ่มจากมูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบันไปเป็น 7.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 5 ปีข้างหน้า ซึ่งการเติบโตถึงปีละ 40% เช่นอินเดียเป็นตลาดที่ห้างไทยไม่ควรมองข้าม
ที่มา: http://www.depthai.go.th