ตลาดกระเป๋าถือในสหราชอาณาจักรมีมูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านปอนด์ ณ ราคาขายปลีก ประมาณการว่า ร้อยละ 80 ของผู้หญิงอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปในสหราชอาณาจักรซื้อกระเป๋าใหม่ 1 ใบใน 1 ปี โดยร้อยละ 3.6 เป็น premium shoppers ร้อยละ 32 เป็น department stores shoppers และร้อยละ 64.3 เป็น high streets shoppers กล่าวคือ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อกระเป๋าจากร้านค้าบน high streets ในราคาถูก-ปานกลาง นอกจากนี้ ร้อยละ 75 ของผู้ซื้อกระเป๋ามีอายุระหว่าง 25-50 ปี
ตลาดกระเป๋าหนังในสหราชอาณาจักรมีแบรนด์ต่างๆกว่า 150 แบรนด์ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ แบรนด์ระดับ premium แบรนด์ของห้างสรรพสินค้าทั่วไป และ High Street Own brand โดยแบรนด์ระดับ premium มีผู้นาตลาด ได้แก่ Mulberry; Marc by Marc Jacobs; Longchamp; Coccinelle; Lamarthe; Mandarina Duck; Coach; Nuovedive; Fontanelli; Furla; Claudio Ferrici; Dents; Osprey London ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบลนด์จากอิตาลีและฝรั่งเศส ราคาอยู่ระดับปานกลาง-ระดับบน ราคาใบละไม่เกิน 600 ปอนด์ แบรนด์ของห้างสรรพสินค้าทั่วไป (ได้แก่ Debenhams; John Lewis; Mark & Spencer) ราคาเฉลี่ยใบละประมาณ 80-100 ปอนด์ และ High Street own brands ผู้นาตลาด ได้แก่ Monsoon Accessorize; Zara; Mango; Next; Dorothy Perkins; Topshop; Jane Shilton; River Island เป็นต้น ราคาเฉลี่ยประมาณ 40-80 ปอนด์ ทั้งนี้ ไม่รวมแบรนด์ระดับหรูราคาเกินกว่า 1,000 ปอนด์ (ได้แก่ Burberry; Louis Vuitton; Hermes; Gucci; Christian Dior เป็นต้น)
แบรนด์ที่ประสบความสาเร็จในระยะยาวคือแบรนด์ที่มีสินค้าคุณภาพ/มีการออกแบบตามแฟชั่น ให้เลือกหลายรูปแบบ (extensive range of fashionable products) ในราคาหลากหลาย เพื่อให้ผู้บริโภคหลากหลายระดับสามารถซื้อได้ (accessible luxury)
ในปี 2552 สหราชอาณาจักรนำเข้ากระเป๋าถือทำด้วยหนังจากทั่วโลกมูลค่า 331.11 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 20.58 จากปีก่อนหน้า โดยเป็นการนาเข้าจากอิตาลีในอันดับ 1 (ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 29.83) ตามด้วยอินเดีย (ส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 22.78) ฝรั่งเศส และจีน ตามลาดับ ทั้งนี้ อิตาลีและอินเดีย รวมกันมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 52.63 และ อิตาลี/อินเดีย/ฝรั่งเศส/จีนรวมกันมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 89.25 สาหรับการนาเข้าจากไทยอยู่ในอันดับที่ 14 ด้วยมูลค่าการนำเข้า 0.36 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.74 จากปีก่อนหน้า
จากสถิติข้างต้น คู่แข่งสาคัญของไทยในตลาดสหราชอาณาจักรสำหรับกระเป๋าถือทาด้วยหนัง คือ อินเดีย และจีน ทั้ง 2 ประเทศรวมกันมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 40.62 ในแง่ของภาษีนำเข้า อินเดียและไทยเสียภาษีในอัตราเท่ากันที่ร้อยละ 0 เนื่องจากได้รับสิทธิพิเศษ GSP ในขณะที่จีนเสียภาษีในอัตราทั่วไป (Third country duty) ที่ร้อยละ 3
2. การนำเข้า
2.1 การนำเข้าจากทั่วโลก
หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐ
สินค้า ปี 2009 มค.-พค. 2009 มค.-พค. 2010 % change กระเป๋าถือทาด้วยหนัง 331.11 100.74 106.95 +6.16
หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐ
ประเทศ ปี 2009 มค.-พค. 2009 มค.-พค. 2010 % change ปี 2009 1. อินเดีย 75.43 19.33 27.96 26.15 +44.66 2. อิตาลี 98.77 32.02 26.30 24.59 -17.88 3. ฝรั่งเศส 67.58 19.22 24.19 22.62 +25.84 4. จีน 53.68 17.45 15.48 14.47 -11.31 5. สเปน 7.46 2.73 2.60 2.44 -4.70 6. ตุรกี 4.81 1.32 2.24 2.10 +69.61 12. โคลัมเบีย 0.42 0.02 0.23 0.22 +960.76 14. ไทย 0.36 0.08 0.20 0.19 +132.57 รวมทั่วโลก 331.11 100.74 106.95 100.00 +6.16
3.1 High Street Stores ซึ่งจาหน่ายสินค้าเสื้อผ้า และมี section ขาย accessories ซึ่งรวมถึงกระเป๋าด้วย เป็นช่องทางการจาหน่ายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหราชอาณาจักร
3.2 Department Stores เป็นอีกช่องทางการจาหน่ายที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถดึงดูดลูกค้าได้มาก จากการมีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ ทั้งกระเป๋าแบรนด์เนมระดับหรูหลายยี่ห้อ ไปจนถึงกระเป๋าแบรนด์ของห้างเอง เช่น Selfridges; Debenhams; John Lewis; Mark & Spencer ; Harrods เป็นต้น
3.3 ร้านขายกระเป๋าโดยเฉพาะ โดยส่วนใหญ่เป็นร้านขายกระเป๋าระดับ premium
3.4 ร้าน gift shop ที่มีกระเป๋าถือขายด้วย โดยเป็นกระเป๋าถือนาเข้ายี่ห้อหลากหลาย ราคาถูก
4.1 ตลาดกระเป๋าถือ เครื่องประดับ และผ้าพันคอ ยังมี gap สาหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้เข้าสู่ตลาดได้ ในส่วนของสินค้าที่มีคุณภาพ มีการออกแบบที่ทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความคลาสสิก และราคาไม่แพง (affordable fashion accessories)
4.2 ตลาดสินค้าเครื่องหนังมีความเชื่อมโยงกันสูงระหว่างรองเท้า กระเป๋า และผลิตภัณฑ์ทาจากหนังอื่นๆ ทาให้มีศักยภาพในการทากาไรได้มาก จากการทาการตลาด การจัดจาหน่าย และการออกแบบร่วมกัน
4.3 การมีร้านค้าซึ่งเป็นช่องทางจาหน่ายตรงต่อผู้บริโภคร่วมไปกับการจัดทา website เพื่อจาหน่ายสินค้าทาง on-line ทาให้ผู้ประกอบรายใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นช่องทางจัดจาหน่ายที่สาคัญ แต่เข้าถึงยากและไม่แน่นอน เนื่องจากการเลือกสินค้าเข้าห้างฯเป็นหน้าที่ของ buyers ซึ่งมีอานาจในการตัดสินใจซื้อเด็ดขาด และการที่ buyers เปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย ทาให้เมื่อเปลี่ยน buyer สินค้าอาจมีโอกาสถูกตัดออกไปไม่ให้ขายในห้างนั้นๆต่อไปได้
5.1 Moda UK : 8-10 สิงหาคม 2553 ณ NEC Birmingham (http://www.moda-uk.co.uk/)
5.2 Autumn Fair International 5-8 กันยายน 2553 ณ NEC Birmingham
สคร. ณ กรุงลอนดอน
ที่มา: http://www.depthai.go.th