1. ภาพรวมเศรษฐกิจอิตาลี เมื่อต้นปี 2010 รัฐบาลอิตาลีได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอิตาลีจะกลับมาฟื้นตัวจากวิฤกตเศรษฐกิจโลกอย่างช้า ๆ อีกครั้ง ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ - การกลับมาฟื้นตัวอย่างช้าๆ ของเศรษฐกิจโลก - ความต้องการสินค้าของตลาดภายในประเทศมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจานวนคนว่างงาน ยังคงเพิ่มขึ้น โดยระหว่างเดือนเมษายน 2009 กับเดือนเมษายน 2010 พบว่าอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 7.4% เป็น 8.9% - การกลับมาฟื้นตัวด้านการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ - สินค้าคงคลังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง - ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ในช่วงไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เปรียบเทียบจาก ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2009
แต่อย่างไรก็ตาม วิฤกตเศรษฐกิจกรีซที่เกิดขึ้นในขณะนี้อาจส่งผลให้การคาดการณ์ดังกล่าวเกิดการ เปลี่ยนแปลง ซึ่งอิตาลีถือเป็นประเทศหนึ่งที่ถูกจับตามองว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์เหมือนกรีซ เนื่องจากมีสถานภาพทางการเงินที่เปราะบางและยังไม่ฟื้นตัวจากวิฤกตเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ โดยทางรัฐบาลยุโรปบางประเทศได้มีการเตรียมแผนรับมือกับวิฤกตเศรษฐกิจกรีซแล้วรวมทั้งรัฐบาลอิตาลี
ไตรมาสแรก ปี 2553 GDP มีการเปลี่ยนแปลงเป็นบวกเปรียบเทียบจากช่วงไตรมาสที่4 ปี 2552 (-1%) สืบเนื่องจากสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศกลับมาฟื้นตัว ความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การส่งออกและนาเข้ามีตัวเลขดีขึ้น รวมทั้งการนาสินค้าคงคลังที่เหลือออกมาใช้
นอกจากนี้ Confindustria ยังคาดการณ์ว่า GDP ของปี 2553 อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากกว่า 1%
เมษายน 2552 มีนาคม 2553 เมษายน 2553 (%) 7.8 1.0 ที่มา: Eurostat
ผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2553 มีอัตราเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยมีอัตราเท่ากับประเทศสมาชิก EU 27
ไตรมาสที่ 4 2552 ไตรมาสแรก 2552 ไตรมาสแรก 2553 (%) -1.8 -6.6 ที่มา: Eurostat
พบว่าผลผลิตสินค้าก่อสร้างของไตรมาสแรก 2553 มีมูลค่าติดลบเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 2552 (-1.2) อาจเนื่องมาจากอุตสาหกรรมการก่อสร้างเกิดการชะลอตัว กอปรกับรอดูสถานการณ์ของเศรษฐกิจในประเทศ
กุมภาพันธ์ 2553 มีนาคม 2552 มีนาคม 2553 (%) 0.9 12.5 ที่มา: Eurostat -------------------------------------------------------------------
พบว่า ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมอิตาลีมีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อาจส่งผลมาจากที่ปริมาณการสั่งซื้อในประเทศสมาชิกEuro Area และประเทศสมาชิก EU 27มีอัตราเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ไม่คงทน และคงทน
จากวิกฤตเศรษฐกรีซที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบให้ค่าเงินยูโรมีมูลค่าลดลงเทียบกับดอลล่าร์และเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจโดยรวมของสหภาพยุโรปลดความน่าเชื่อถือ จากมูลค่าเงินที่ลดลงส่งผลให้อิตาลีได้เปรียบในด้านการส่งออกแต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบที่นาเข้ามีราคาแพงขึ้น
(%) พฤษภาคม 2552 เมษายน 2553 การส่งออกไปยังประเทศภายนอกสหภาพยุโรป พฤษภาคม 2553 15.8 1.5 การนาเข้าจากประเทศภายนอกสหภาพยุโรป พฤษภาคม 2553 35.5 3.2 ขาดดุลการค้า (ล้านยูโร) 1,416 ที่มา : สานักงานสถิติแห่งชาติ (Istat)
- ตุรกี (+46.4%)
- สวิตเซอร์แลนด์ (+26.2%)
- อินเดีย (+20.1%)
- ญี่ปุ่น (+18.9%)
- สหรัฐอเมริกา (+17.9%)
- จีน (+16.6%)
- กลุ่มประเทศโอเปค (+63.1%)
- กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (+48.6%)
- จีน (+40.6%)
- อินเดีย (+36.0%)
- พลังงาน (+58.8%)
- สินค้าเพื่อการบริโภค-อุปโภค (+20.4%)
- สินค้ากึ่งสาเร็จรูป (+18.8%)
- สินค้ากึ่งสาเร็จรูป (+71.4%)
การที่ค่าเงินยูโรมีมูลค่าที่ลดลงส่งผลโดยตรงให้สินค้าจากไทยมีราคาแพงขึ้น ในทางตรงกันข้ามสินค้าจากยุโรปมีราคาต่าลง ซึ่งส่งผลให้ไทยตกอยู่ในภาวะลาบากในการส่งออกสินค้ามายังอิตาลีและประเทศในสหภาพยุโรป
ในระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2553 ไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 57 ของอิตาลี อิตาลีส่งออกมาไทยมีมูลค่า 209 ล้านยูโร (33.1%) เปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
- เครื่องจักร มูลค่า 82 ล้านยูโร +55.5%
- เครื่องจักร/อุปกรณ์ไฟฟ้า มูลค่า 14 ล้านยูโร +35.9%
- อุปกรณ์และเครื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในทางทัศนศาสตร การแพทย์หรือศัลยกรรม มูลค่า 11 ล้านยูโร +50.8%
- ของทาด้วยเหล็กและเหล็กกล้า มูลค่า 9 ล้านยูโร -16.0%
- ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม มูลค่า 4 ล้านยูโร -4.6%
- เหล็กและเหล็กกล้า มูลค่า 5 ล้านยูโร -71.6%
ในระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2553 ไทยเป็นแหล่งนาเข้าอันดับที่ 45 ของอิตาลี ซึ่งอิตาลีนาเข้าจากไทยมีมูลค่า 307 ล้านยูโร (3.6%) เปรียบเทียบจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
สินค้าที่อิตาลีนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่
- เครื่องจักร มูลค่า 55 ล้านยูโร +42.8%
- ยาง มูลค่า 34 ล้านยูโร +35.9%
- เครื่องจักร/อุปกรณ์ไฟฟ้า มูลค่า 25 ล้านยูโร +18.2%
สินค้าทิ่อิตาลีนำเข้าลดลง ได้แก่
- ปลาและอาหารทะเล มูลค่า 20 ล้านยูโร -14.5%
- ยานบก มูลค่า 19 ล้านยูโร -6.9%
- ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา มูลค่า 19 ล้านยูโร -45.6%
ที่มา: World Trade Atlas
มีนาคม ปี2553 เมษายน ปี 2552 เมษายน ปี2553 (%) 0.9 1.6 ที่มา: Eurostat
ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจอิตาลีจะฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างช้า ๆ แต่ตลาดแรงงานในอิตาลียังคงต้องเผชิญปัญหาของอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน
ไตรมาสแรก 52 มีนาคม 53 เมษายน 53 อัตราการจ้างงานไตรมาสแรก 53 -0.7 - - อัตราการว่างงาน (%) 8.8 8.9 อัตราการว่างงานของวัยรุ่น (%) 28.1 29.5 ที่มา : Eurostat
ในเดือนเมษายน 2553 พบว่าอัตราการว่างงานดังกล่าวเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 9 ปี(จากปี 2544) โดยมีจานวนผู้ว่างงานที่ต้องการงานกว่า 2,220,000 ราย และมีจานวนผู้มีงานทากว่า 22,831,000 ราย โดยผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือวัยรุ่น (ระหว่าง 15-24 ปี) 29.5%(1 ใน 3 ของอัตราการจ้างงาน) เนื่องจากมีสัญญาการทางานปีต่อปีหรือนายจ้างไม่ยอมต่อสัญญาให้
แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งชาติอิตาลีคาดการณ์ว่าตลาดแรงงานอิตาลีจะดีขึ้น ถ้าผลผลิตอุตสหกรรมมีอัตราการแปลงเปลี่ยนที่ดีขึ้น
10.1 ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 จึนจะประกาศยกเลิกการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ส่งออกจีนในเรื่อง ของภาษี เนื่องจากการที่รัฐบาลจะปล่อยให้ค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมาก คืออุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งผู้จัดการของอุตสาหกรรมเหล็กได้เปิดเผยว่า การส่งออกของบริษัทในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบถึงแม้ว่าราคาของสินค้าจะถูกกว่าอินเดียและรัสเซียก็ตาม
10.2 Prometeia (Financial and Economic research)ได้เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมการผลิตของอิตาลีต้องเผชิญกับราคาของวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นสาหรับแม้กระทั่งในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร โดยเดือนเมษายน พบว่าราคาวัตถุดิบที่มีอัตราเพิ่มขึ้นได้แก่ วัตถุดิบไม้และกระดาษ (+6%) วัตถุดิบอาหาร (+4%) วัตถุดิบสาหรับการบรรจุภัณฑ์อาหาร (+7% ในส่วนของพลาสติก) เป็นต้น นอกจากนี้อุตสากรรมที่ต้องเผชิญกับราคาของวัตถุดิลเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมเครื่องกลราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น (+1%) เนื่องจากการลดลงของราคาของทองแดงและอลูมิเนียม (-5%) และอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยราคาวัตถุดิบของหนังและฝ้ายมีอัตราเพิ่มขึ้นแต่ราคาของขนและเส้นใยสังเคราะห์มีราคาลดลง
10.3 จากการที่จีนได้ปล่อยให้ค่าเงินหยวนไม่ผันตามเงินดอลล่าร์ โดยมูลค่าของเงินหยวนแข็งขึ้นเป็น 6.7980 ต่อ 1 ดอลล่าร์ ซึ่งการปล่อยให้ค่าเงินหยวนมีการยึดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น อาจมีส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีน ไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งออกและตลาดการเงิน ซึ่งศักยภาพในการแข่งขันของจีนอาจลดลง กอปรกับจีนต้องเผชิญกับคู่แข่งทางด้านการค้าเพิ่มมากขึ้น เพราะนักลงทุนจากทั่วโลกอาจหันไปนาเข้าหรือตั้งโรงงานผลิตในประเทศอื่น ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายและแรงงานต่ากว่าจีน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาจส่งผลดีต่ออิตาลีในการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีและเครื่องจักรต่าง ๆ ไปยังจีนเพิ่มมากขึ้น
สำนักงานส่งเสริมการค้าในระหว่างประเทศ ณ เมืองมิลาน
ที่มา: http://www.depthai.go.th