ในปี 1985 บริษัท Bon Dente International ของ James Cox และ R.W. Duffy Cox ได้เริ่มคิดค้นหาวิธีทำข้าวหักให้กลายเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มโดยการป่นให้เป็นแป้งแล้วอัดผ่านเข้าเครื่องทำพาสต้าให้ออกมาเป็นรูปเมล็ดข้าว แม้ว่าจะสามารถผลิตข้าวได้สำเร็จแต่สินค้าไม่มีศายะภาพในตลาดค้าปลีกเนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงทำให้ราคาขายในตลาดค้าปลีกสูงกว่าสินค้าข้าวอื่นที่วางตลาดอยู่แล้วเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี กระทรวงเกษตรสหรัฐฯได้ให้ความสนใจการค้นคิดประดิษฐ์ข้าวของบริษัทฯและให้การสนับสนุนให้บริษัทฯค้นคิดหาวิธีเพิ่มไวตามิน A เข้าไปในข้าวให้มากยิ่งขึ้นจนกระทั่งบริษัทฯสามารถผลิตข้าวที่อุดมไปด้วยไวตามินมากกว่าข้าวธรรมชาติและได้จดสิทธิบัติข้าวที่ผลิตได้ว่า Ultra Rice ปัจจุบันสิทธิบัตรข้าวนี้เป็นของ PATH องค์กรไม่หวังผลกำไรระหว่างประเทศ www.path.org ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 1455 NW Leary Way, Seattle, WA 98107, Tel: 206-285-3500
Ultra Rice ทำจากส่วนผสมของแป้งข้าวไวตามิน แร่ธาตุ และ ธาตุอาหารต่างๆตามต้องการและเครื่องปรุงอื่นๆที่จะเป็นตัวป้องกันการสูญเสียของธาตุอาหารการผลิต Ultra Rice มีอยู่ 3 ขั้นตอนคร่าวๆคือ
1. “batching” นำแป้งข้าวไปผสมกับส่วนผสมต่างๆ
2. “dough-making” เติมน้ำมันและน้ำลงในส่วนผสมในข้อ 1
3. นำ dough ที่ได้ใส่ในเครื่องผลิตพาสต้าที่เป็นการผลิตในระบบ cold process แล้วนำไปเข้าเครื่องอัดพิมพ์ออกมาเป็นรูปเมล็ดข้าวเลียนแบบข้าว ชนิดใดๆก็ได้ ส่วนใหญ่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะเลียนแบบข้าวขาว
Ultra Rice ในปัจจุบันมีอยู่ 2 สูตรด้วยกันคือ
1. Ultra Rice ที่ผสมไวตามิน A
2. Ultra Rice ที่ผสม Iron, Thiamin, Folic Acid และ Zinc
ปัจจุบัน PATH ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยี่และให้ลิขสิทธิ์ (royalty-free) การผลิตข้าว Ultra Rice ให้กับบริษัทต่างๆนอกประเทศสหรัฐฯโดยจะเน้นไปที่โรงงานผลิตพาสต้าและโรงสีข้าวเป็นอันดับแรก บริษัทต่างๆที่ได้ลิขสิทธิ์ในปัจจุบันเช่น บริษัท Swagat Food Products Ltd. ในประเทศอินเดีย ผลิตข้าวภายใต้ยี่ห้อ Captain Paushtik Premixed Rice บริษัท Adorella Alimentos Ltda ในประเทศบราซิล และบริษัท Union de Arroceros S.A. ประเทศโคลอมเบีย
เงินลงทุนในการสร้างความพร้อมของโรงงานเพื่อผลิตผลิต Ultra Rice ประมาณ 50,000 — 300,000 เหรียญฯ
Ultra Rice เทคโนโลยี่มีศักยะภาพสูงมากในการที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดสินค้าข้าวมูลค่าเพิ่มที่เป็นการเพิ่มคุณค่าอาหารลงในข้าว
1. มีขนาด รูปร่าง และสี คล้ายคลึงกับข้าวขาวสีแล้ว
2. เวลานำไปผสมกับข้าวธรรมชาติในสัดส่วนระหว่าง 1:100 หรือ 1:200 จะได้ข้าวที่เกือบจะเหมือนกับข้าวขาวธรรมชาติในเรื่องของกลิ่น รส และเนื้อข้าว ที่ผู้บริโภคแทบจะแยกไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นข้าวธรรมชาติส่วนไหนเป็น Ultra Rice
3. เมื่อหุงหรือปรุงแต่งเป็นอาหารแล้วเนื้อข้าวจะยังคงรูปทรงเดิมไม่แตกยุ่ย เวลาล้างข้าวจะไม่ละลายหายไปเหมือนข้าวธรรมชาติ
4. สามารถทนทานต่อสภาวะร้อนชื้นของโรงเก็บสินค้าได้สูงกว่าข้าวธรรมชาติ และธาตุอาหารต่างๆในข้าวจะไม่สูญหายไปในระหว่างการเก็บรักษา
5. เป็นข้าวที่ผลิตโดยการอัดธาตุอาหารต่างๆเข้าไปในเนื้อข้าวดังนั้นจึงโอกาสสูญเสียคุณค่าทางอาหารในระหว่างการปรุงแต่งอาหารจึงลดน้อยลงกว่าข้าวธรรมชาติ
6. เป็นข้าวที่สามารถผลิตขึ้นในลักษณะ “custom made” เพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงลงไปของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม กล่าวคือ ในระหว่างการผลิต สามารถเพิ่มชนิดและปริมาณของไวตามินและแร่ธาตุต่างๆลงไปเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความจำเป็นต้องได้รับของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม
7. เป็นข้าวที่มีไวตามินและแร่ธาตุมากกว่าข้าวธรรมชาติ ไวตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่ถูกบรรจุลงในข้าว Ultra Rice เช่น calcium, zinc, folic acid, thiamin และ iron
8. สามารถใช้เป็นอาหารมังสวิรัตได้
9. อายุการวางจำหน่ายบนชั้นจำหน่ายสินค้านาน 6 เดือนซึ่งนานกว่าข้าวธรรมชาติที่ปกติแล้วจะมีอายุวางจำหน่ายบนชั้นประมาณ 2 — 3 เดือน
10. มีปริมาณแคลอรี่ 366 สูงกว่าข้าวธรรมชาติเพียงเล็กน้อย ข้าวธรรมชาติมีปริมาณแคลอรี่ประมาณ 358
การผลิตข้าว Ultra Rice มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าข้าวธรรมชาติดังนั้นราคาจำหน่ายในตลาดจึงสูงกว่าข้าวธรรมชาติประมาณร้อยละ 2 — 5 อย่างไรก็ดี เชื่อกันว่า หากราคาข้าวธรรมชาติในตลาดเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ช่องว่างของระดับราคาข้าวธรรมชาติและข้าว Ultra Rice จะลดน้อยลงเรื่อยๆ
เนื่องจากเหตุผลเรื่องราคา และ ประเภทและลักษณะการทำงานของผู้ถือสิทธิบัตร ตลาดเป้าหมายของข้าว Ultra Rice ในปัจจุบันจึงเน้นไปที่การสร้างความต้องการและการขายในตลาดที่เป็นภาคมหาชน (public-sector)/ภาครัฐบาลประเทศต่างๆ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในประเทศยากจนตามโครงการช่วยเหลือต่างๆ โดยในเบื้องต้นจะเน้นไปที่โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน ปัจจุบันรัฐบาลประเทศอินเดียและบราซิลใช้ Ultra Rice ในโครงการอาหารกลางวันสำหรับเด็กยากจนในประเทศของตน และ UN กำลังทดลองใช้ข้าว Ultra Rice ในโครงการ World Food Program ของตนในกัมพูชาแผนการในอนาคตของ PATH คือ
1. ขยายการใช้ Ultra Rice เข้าไปในครงการแม่และเด็ก และโครงการอาหารสำหรับคนพื้นเมือง (indigenous) ในประเทศต่างๆ
2. สร้างศูนย์การผลิตในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี่การผลิตให้แก่โรงงานผลิตและโรงสีข้าว และเพื่อรักษาต้นทุนสินค้าให้อยู่ในระดับต่ำ
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส
ที่มา: http://www.depthai.go.th