ตลาดสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบในสหรัฐอเมริกา

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 16, 2010 16:36 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ขนาดของตลาด

1.1 การผลิต: การผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ แยกเป็นสองส่วน คือ รถยนต์ที่ผลิตในประเทศสหรัฐฯ และ รถยนต์สหรัฐฯที่ผลิตและนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายในช่วงมกราคม — มิถุนายน 2553 จำนวน 6,086,756 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 71.50 จากช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยแยกเป็น รถยนต์ผลิตในสหรัฐฯ จำนวน 3,885,480 คัน หรือมีจำนวนการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 78.54 และ นำเข้าจากประเทศแคนาดาและเม็กซิโกจำนวน 2,201,276 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 78.54

        การผลิตรถยนต์                 มกราคม — มิถุนายน (คัน)      อัตราการ
                                     2553         2552        ขยายตัว (%)
   1. รถยนต์ผลิตในสหรัฐฯ            3,885,480      2,315,897      67.80
   2. รถยนต์สหรัฐฯนำเข้า*           2,201,276      1,232,914      78.54
        รวมการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ   6,086,756      3,548,811      71.50
   * เป็นรถยนต์นำเข้าของผู้ผลิตสหรัฐฯ จากประเทศเม็กซิโกและแคนาดา

          นอกจากนั้นแล้ว การผลิตได้แยกตามประเภทของรถเป็น รถยนต์โดยสาร (Passenger Cars) จำนวน 2,613,478 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.60 รถบรรทุกขนาดเบา (Light Trucks) จำนวน 3,358,325 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 83.50 และรถบรรทุกใช้งานหนัก (Medium/Heavy Duty Truck) จำนวน 114,953 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.60

          1.2  ผู้ผลิตรถยนต์: ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 (มกราคม-มิถุนายน) ผู้ผลิตกลุ่ม BIG 3 ของสหรัฐฯ (General Motor, Ford และ Chrysler) ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดการผลิตรถยนต์อันดับที่หนึ่ง สอง และ สามตามลำดับ โดยบริษัท General Motor ยังคงเป็นผู้นำการผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ครองตลาดร้อยละ 22.90 บริษัท Ford มีสัดส่วนตลาดลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาอันดับที่ 2 ร้อยละ 19.07 บริษัท Chrysler ก้าวขึ้นมาอันดับที่ 3 มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 13.04 และ ทำให้บริษัท Toyota ลดลงไปเป็นอันดับที่ 5 ซึ่งมีสัดส่วนตลาดลดลงเหลือร้อยละ 10.25 และ บริษัท Honda ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตอันดับที่ 4 แทน มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 11.11

                              การผลิตรถยนต์แยกตามผู้ประกอบการ
ผู้ผลิตรถยนต์      มค-มิย           มค-มิย        อัตราการ     สัดส่วน        สัดส่วน
              2553 (คัน)        2552 (คัน)    ขยายตัว      ตลาด’53      ตลาด‘52
GM            1,398,314       719,965        94.2       22.90        21.77
Ford          1,176,583       765,551        53.7       19.07        20.70
Chrysler        806,997       329,064       145.2       13.04        10.95
Honda           652,846       456,934        42.9        10.7         12.9
Toyota          630,275       351,766        79.2        10.4          9.9
Nissan          496,678       298,910        66.2         8.2          8.4
Volkswagen      193,264       147,295        31.2         3.2          4.2
Hyundai         154,550        84,838        82.9         2.5          2.4
Subaru          117,452        69,346        69.4         1.9          2.0
Other           459,797       325,142       41.41        7.55         9.16
Total         6,086,756     3,548,811       71.50       100.0        100.0
2. การค้าในประเทศและการขายปลีก

2.1 ยอดจำหน่ายรถในสหรัฐฯ : ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 (มกราคม-มิถุนายน) เป็นจำนวน 5,614,023 คัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 16.73 บริษัท General Motor จำหน่ายรถเป็นจำนวน 1,398,314 คัน มีสัดส่วนตลาด ร้อยละ 19.18 บริษัท Ford จำหน่ายรถจำนวน1,176,583 คัน และมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 16.98 และบริษัท Toyota มียอดจำหน่าย 846,542 คัน และมีสัดส่วนตลาดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.08

3. ระดับราคาขายปลีกรถยนต์

สมาคม American International Automobile Dealers Association ของสหรัฐฯ คาดว่าราคาจำหน่ายรถยนต์ (Sticker Price) รุ่น 2010 ที่ผลิตในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 -12 ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของรถยนต์ ในขณะที่รถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 ด้วยเหตุผลจาก ภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ได้แนะนำรถรุ่นใหม่ การใช้เทคโนโลยี่เพิ่มความปลอดภัย การประหยัดน้ำมัน และ การเพิ่มอุปกรณ์ให้ความสะดวกสบายต่างๆ

ราคาขายปลีกรถยนต์ รุ่นปี 2010 ที่ได้รับความนิยมในตลาด 10 อันดับ

หน่วย: เหรียญสหรัฐฯ                      *ราคาขายปลีกยังไม่ร่วมค่าขนส่งและภาษีการค้า
แบรนด์รถยนต์            ราคาขายปลีก*          แบรนด์รถยนต์         ราคาขายปลีก*
1. Ford F-150       21,380 - 39,010     6. Honda CR-V       21,545 - 27,745
2. Toyota Camry     19,395 - 29,245     7. Nissan Altima    19,190 - 29,380
3. Honda Accord     21,055 - 29,305     8. Chevy Impala     23,890 - 29,630
4. Toyota Colora    15,350 - 18,860     9. Toyota Prius     21,000 - 27,270
5. Honda Civic      15,500 - 22,055    10. Ford Fusion      19,620 - 28,030
4. ตลาดอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์

การนำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ของสหรัฐฯ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 (มกราคม - มิถุนายน) มีมูลค่า 38,639.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 47.08 โดยมีแหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา ญี่ปุ่น เยอรมนี เกาหลี และ จีน

การขยายตัวนำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ในอัตราสูงของสหรัฐฯ เป็นผลดีต่อประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นในอัตราสูงเป็นเงาตามตัวไปด้วย สหรัฐฯ นำเข้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์จากประเทศไทยเป็นมูลค่า 617.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2552 ร้อยละ 106.36 และมีสัดส่วนตลาดนำเข้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์ในสหรัฐฯ ร้อยละ 1.70

5. มาตรการด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี

มาตรการภาษี: สหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรรถยนต์นำเข้าและส่วนประกอบในอัตราต่ำโดยเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าประมาณร้อยละ 0.00-25.00 และชิ้นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 0.00-5.00 และให้สิทธิพิเศษ GSP และ การเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti Dumping Duty) และค้นหาเพิ่มเติมได้จากhttp://dataweb.usitc.gov) มาตรการไม่ใช่ภาษี

1. มาตรฐาน DOT : US Department of Transportation เน้นในด้านความปลอดภัย

2. มาตรฐาน UL : Universal Laboratories สำหรับส่วนประกอบที่ใช้กับไฟฟ้า

3. มาตรฐาน EPA : กำหนดโดย US Environment Protection Agency : EPA ควบคุมในเรื่องมาตรฐาน Greenhouse Gas Emissions และ Fuel Economy

4. มาตรฐานกลุ่มประกันภัยรถยนต์สำหรับชิ้นส่วน Collision Parts

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ