1. การค้าของเวียดนามในตลาดโลก
หน่วย: พันล้านเหรียญสหรัฐ
2550 2551 2552 2553 มค. — มิย. -+/% เป้าหมายทั้งปี มูลค่าการค้ารวม 109.2 143.4 125.4 71.00 22.6 134.2 การส่งออก 48.4 62.7 56.6 32.13 15.7 61.0 การนำเข้า 62.7 80.7 68.8 38.85 29.4 73.2 ดุลการค้า -14.3 -17.5 -12.2 -6.70 -12.2 ที่มา: General Statistics Office of Vietnam : GSO เวียดนามขาดดุลการค้าในตลาดโลกมาโดยตลอดเพราะเวียดนามยังจำเป็นต้องนำเข้าเครื่องจักร ชิ้นส่วน อุปกรณ์และวัตถุดิบเพื่อการผลิตในประเทศปีละมากกว่า 80% ของการนำเข้าทั้งหมด ทั้งนี้ในปี 2552 เวียดนามขาดดุลการค้าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22.3% ของมูลค่าการส่งออก ซึ่งมีผลกดดันต่อดุลการชำระเงินปี 2553 รัฐบาลจึงตั้งเป้าการขาดดุลการค้าปี 2553 ไว้ที่ 20% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เวียดนามส่งออก 32.13 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 15.7% (y-on-y) แต่การนำเข้าเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการส่งออก แม้เวียดนามจะมีมาตรการควบคุมและจำกัดการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าฟุ่มเฟือยก็ตาม ในครึ่งแรกของปี 2553 เวียดนามนำเข้า 38.85 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.4% (y-on-y) ทำให้เวียดนามขาดดุลการค้าถึง 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 20.9% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด 2. การส่งออก การส่งออกของเวียดนามใน 6 เดือนแรกของปี 2553 มีมูลค่า 32.13 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับ 52.7 % ของเป้าหมายการส่งออกทั้งปีและเพิ่มขึ้น 15.7 % (y-on-y) โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็น การส่งออกของบริษัทต่างประเทศที่ส่งออก 14.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็น 45.5 % ของการส่งออกของเวียดนาม) เพิ่มขึ้นถึง 39.5 % (y-on-y) ไม่นับรวมน้ำมันดิบ ถ้ารวมน้ำมันดิบจะมีมูลค่า 17.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 26.2% (y-on-y) สินค้าส่งออก 10 อันดับแรก ( มค. — มิย. 2553 ) ของเวียดนาม สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 4,807 เหรียญสหรัฐ ( +17.2 %) น้ำมันดิบ 2,597 เหรียญสหรัฐ ( -17.9 %) รองเท้า 2,279 เหรียญสหรัฐ ( +10.9 % ) สินค้าประมง 2,016 เหรียญสหรัฐ ( +14.2 % ) ข้าว 1,756 เหรียญสหรัฐ ( +0.5 % ) คอมพิวเตอร์ อิเล็คโทรนิคส์และชิ้นส่วน 1,521 เหรียญสหรัฐ ( +31.4 % ) ผลิตภัณฑ์ไม้ 1,504 เหรียญสหรัฐ ( +32.5 % ) หินและโลหะมีค่า 1,343 เหรียญสหรัฐ ( -48.5 % ) กาแฟ 913 เหรียญสหรัฐ ( -17.3 % ) ยานยนต์และชิ้นส่วน 816 เหรียญสหรัฐ ( +118.7 % ) ที่มา: กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MOIT) ตลาดส่งออกหลัก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เวียดนามส่งสินค้าออกไปยังยุโรปประมาณ 6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงมากกว่า 20 % ( y-on-y) แม้ว่าการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปจะเพิ่มขึ้น 5% ก็ตามการส่งออกไปแอฟริกาลดลงประมาณ 15% ส่วนการส่งออกไปทวีปเอเชียมีมูลค่า 15.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30% ( y-on-y) โดยเป็นการค้ากับอาเซียน 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% (y-on-y) ส่วนการส่งออกไปอเมริกาและโอเชียเนีย เพิ่มขึ้นประมาณ 23% และ 30% ตามลำดับ ข้อสังเกตุ : -- เวียดนามพยายามครองตลาดแอฟริกา ตะวันออกกลางและลาตินอเมริกาให้ได้ ภายในปี 2553 แต่พบว่าตลาดเหล่านั้น ยังไกลเกินไปสำหรับเวียดนาม เนื่องจากมีความแตกต่างหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นศุลกากร วัฒนธรรม และพฤติกรรมการบริโภค จึงทำให้ความพยายามไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ทั้งที่สองฝ่ายมีความพยายามร่วมมือกัน -- สหภาพยุโรป ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญที่เวียดนามยังมุ่งเน้นการส่งออก โดยรัฐบาลสนับสนุนให้สมาคมการค้าต่าง ๆ ของเวียดนามเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศช่วงเดือนเมษายน — ตุลาคม 2553 เช่น -- สมาคมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเวียดนามจะเข้าร่วมงานแสดงสินค้า Globaltex ที่ลอสแองเจลิส และ งานแสดงสินค้า Magic Show Fair ที่ลาสเวกัส -- สมาคมผลิตภัณฑ์ไม้เวียดนามจะเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่นครชิคาโก -- สมาคมโกโก้และกาแฟเวียดนามเดินทางไปยังนครนิวยอร์กเพื่อศึกษาและเก็บข้อมูล -- สำหรับตลาดยุโรป สมาคมสหกรณ์เวียดนาม สมาคมซอร์ฟแวร์เวียดนาม ศูนย์ส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรเวียดนาม จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ประเทศอิตาลี เยอรมนี และฝรั่งเศส ตามลำดับ -- ในตลาดญี่ปุ่น นักธุรกิจเวียดนามจะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเวียดนาม — ญี่ปุ่น สำหรับสินค้าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า สินค้าหัตถกรรม เฟอร์นิเจอร์ไม้และสินค้าเกษตร 3. การนำเข้า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 การนำเข้าสินค้าควบคุมซึ่งคิดเป็น 11% ของการนำเข้าทั้งหมดมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 53.1% ( y-on-y) เช่นสินค้าอัญมณีและโลหะมีค่านำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 378 % ชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้น 73% เป็นต้นในขณะที่การนำเข้าสินค้าภายใต้มาตรการจำกัดซึ่งคิดเป็น 7% ของการนำเข้าทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 21.5% การนำเข้าของเวียดนามในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 มีมูลค่า 38.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 29.4% ( y-on-y) สินค้านำเข้า 10 อันดับแรก ( มค. — มิย. 2553 ) ของเวียดนาม - เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์และชิ้นส่วน 6,103 เหรียญสหรัฐ ( + 13.1 %) - น้ำมันสำเร็จรูป 3,286 เหรียญสหรัฐ ( + 11.6 %) - เหล็กกล้า 2,752 เหรียญสหรัฐ ( + 29.1 % ) - ผ้าผืน 2,528 เหรียญสหรัฐ ( + 27.0 % ) - คอมพิวเตอร์ อิเล็คโทรนิคส์และชิ้นส่วน 2,193 เหรียญสหรัฐ ( + 37.8 % ) - เม็ดพลาสติก 1,619 เหรียญสหรัฐ ( + 38.1 % ) - สิ่งทอ เสื้อผ้า และเครื่องหนัง 1,260 เหรียญสหรัฐ ( + 35.7 % ) - โลหะสามัญ 1,224 เหรียญสหรัฐ ( + 110.4 % ) - อาหารสัตว์และวัตถุดิบ 1,157 เหรียญสหรัฐ ( + 40.6 % ) - เคมี 951 เหรียญสหรัฐ ( + 30.1 % ) ที่มา: กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MOIT) ตลาดนำเข้าหลัก - จีน กลายเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของเวียดนามในเวลาอันรวดเร็ว โดยในครึ่งแรกของปี 2553 เวียดนามนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นมูลค่า 7.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 23.3% ของการนำเข้าทั้งหมดของเวียดนาม ทั้งนี้ เวียดนามขาดดุลให้กับจีนถึง 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ( เมื่อปี 2552 เวียดนามขาดดุลจีนถึง 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 90% ของการขาดดุลทั้งหมด ) - อาเซียน ในครึ่งแรกของปี 2553 เวียดนามนำเข้าสินค้าจากอาเซียนเป็นมูลค่า 6.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเข้าจากไทยมากเป็นอันดับหนึ่งในมูลค่า 2.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาคือสิงคโปร์และมาเลเซียในมูลค่า 1.7 และ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ - เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีนไทเปและสหรัฐฯ ในครึ่งแรกของปี 2553 เวียดนามนำเข้าสินค้าจากประเทศดังกล่าวเป็นมูลค่า 3.4, 3.3, 2.7 และ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ข้อสังเกตุ : - การขาดดุลการค้าของเวียดนามที่มีต่อจีนคิดเป็น 15% ของ GDP และเวียดนามยังต้องพึ่งพิงวัตถุดิบที่นำเข้าจากจีนมากกว่า 80% ดังนั้นการลดค่าเงินหยวนของจีนจึงทำให้ต้นทุนการผลิตของเวียดนามเพิ่มขึ้น - การขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามส่วนใหญ่ขึ้นกับการลงทุนประสิทธิภาพในการผลิตมีส่วนร่วมเพียง 20% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนของการพัฒนา - เป็นการยากที่เวียดนามจะคงการขาดดุลให้ได้ในอัตราที่ต่ำกว่า 20% ของมูลค่าการส่งออกตามเป้าหมายของรัฐบาล เพราะราคาของสินค้านำเข้าส่วนใหญ่และวัตถุดิบได้เพิ่มขึ้นอย่างมากตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวประกอบกับเวียดนามลดค่าเงินด่องลง 6.4 % เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อปลายปี 2552 ที่ผ่านมาทำให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่ามูลค่าการส่งออก 4. การค้าระหว่างเวียดนามกับประเทศไทย หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐ 2549 2550 2551 2552 2553 (มค.-มิย.) มูลค่าการค้า 3,970 4,916 6,468 6,064 3,252.30 (อัตราขยายตัว) 22.00% 23.80% 31.60% -6.20% 28.20% การส่งออกมาไทย 895 1,112 1,450 1,385.40 624.60 (อัตราขยายตัว) 0.70% 24.20% 30.40% -4.50% 4.30% การนำเข้าจากไทย 3,075 3,804 5,018 4,678.40 2,627.70 (อัตราขยายตัว) 30.10% 23.70% 31.90% -6.80% 36.00% ดุลการค้า -2,180 -2,692 -3,568 -3,293.00 -2,003.10 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีและการสื่อสาร การค้าสองฝ่ายระหว่างเวียดนามกับไทยในช่วงปี 2550 - 2552 มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเพียง 2% ของการค้าไทยกับตลาดโลกและ 5% ของการค้าเวียดนามกับตลาดโลกทั้งนี้เกือบ 80% ของมูลค่าการค้าสองฝ่ายเป็นการส่งออกของไทยมายังเวียดนาม ทำให้เวียดนามขาดดุลการค้าให้กับไทยมูลค่า 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ซึ่งเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 28.5% คาดว่ามูลค่าการค้าสองฝ่ายทั้งปีจะเป็น 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การส่งออกสินค้าสำคัญจากเวียดนามมายังไทย ( มค.—พค. 2553 ) หน่วย: ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่า สัดส่วนต่อการส่งออกทั้งหมด (%) มูลค่าส่งออกทั้งหมด 453.5 1.41 - ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 81.8 5.37 - เครื่องจักร อุปกรณ์และชิ้นส่วน 48.3 4.67 - อาหารทะเล 22.5 1.11 - น้ำมันดิบ 19.3 0.74 - ถ่านหิน 12.6 1.59 - เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 8.3 1.95 - ผลิตภัณฑ์พลาสติก 8.1 1.74 ที่มา: GDVC การนำเข้าสินค้าไทยที่สำคัญของเวียดนาม ( มค. — พค. 2553 ) หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่า สัดส่วนต่อการส่งออกทั้งหมด (%) มูลค่านำเข้าทั้งหมด 2,030.9 6.41 - เครื่องจักร อุปกรณ์และส่วนประกอบ 181.9 3.63 - อุปกรณ์รถจักรยานยนต์ 160.2 52.62 - เครื่องแต่งรถยนต์ 156.5 20.85 - ผลิตภัณฑ์พลาสติก 131.1 9.30 - น้ำมันสำเร็จรูป 117.0 4.16 - เหล็กและผลิตภัณฑ์ 105.1 3.70 - เส้นใย 56.8 13.31 - รถจักรยานยนต์ 13.9 29.02 ที่มา : GDVC ประเทศคู่แข่งของไทย สินค้าสำคัญที่ไทยส่งเข้ามาจำหน่ายในตลาดเวียดนามช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ทุกรายการมีจีนเ ป็นผู้ครองตลาดส่วนใหญ่ยกเว้นเครื่องตกแต่งรถยนต์ที่ไทยส่งเข้ามาจำหน่ายเป็นอันดับ 1 รองมาคือญี่ปุ่น เกาหลีใต้และจีน และรถมอเตอร์ไซด์ที่ไทยส่งเข้ามาจำหน่ายเป็นอันดับ 2 รองจากอิตาลี ส่วนจีนเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน ปีนี้ไทยสามารถส่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในเวียดนามมากเป็นอันดับ 1 แซงหน้าสิงคโปร์และมาเลเซีย จาการที่เวียดนามขาดดุลการค้ามากขึ้น ทำให้เวียดนามประกาศใช้มาตรการ automatic import licensing สำหรับสินค้าหลายรายการรวมสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมาตรการดังกล่าวต้องขออนุญาตในการนำเข้าสินค้าทุกครั้ง ไม่ใช่ยื่นขอเพียงครั้งเดียวเหมือนใบอนุญาตทั่วไป และต้องยื่นขอทางไปรษณีย์เท่านั้น ทางการเวียดนามจะออกเอกสารให้ภายในเวลา 7 วันทำการและส่งคืนให้ทางไปรษณีย์เช่นกัน ดังนั้น กว่าที่ผู้นำเข้าจะได้รับออกของต้องรอการเดินทางของเอกสารทางไปรษณีย์ไม่น้อยกว่า 11 วัน ทำให้สินค้าต้องติดค้างที่ท่าเรือเป็นจำนวนมากและหากไม่สามารถดำเนินการออกของได้ภายใน 14 วัน ทางบริษัทเรือก็จะมีเบี้ยปรับ ทำให้สินค้ามีต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น ประกาศฉบับนี้ออกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2010 มีผลกระทบต่อสินค้าไทยเพราะทำให้มีต้นทุนจำหน่ายที่สูงขึ้นและเพิ่มความยุ่งยากทางเอกสารในการนำเข้า เปรียบเสมือนเป็นการจงใจถ่วงเวลาในการนำเข้าสินค้าเป็นอย่างมาก สคร.นครโฮจิมินห์ ที่มา: http://www.depthai.go.th