ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองเจดดาห์ (นายศิวะลักษณ์นาคาบดี) แจ้งว่ารัฐบาลซาอุฯ อนุมัติเงินงบประมาณในการดำเนินการตามแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 9 (ปี 2010-2014) เป็นจำนวนเงินสูงถึง 385 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 12,320 พันล้านบาท) เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งนี้ร้อยละ 50.6 ของเงินดังกล่าว ใช้ในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (การศึกษา อบรมต่างๆ)ร้อยละ 19.0 ใช้ในการพัฒนาการสาธารณสุข ร้อยละ 15.7 ใช้ในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจ ร้อยละ7.7 ใช้ในภาคการขนส่งและสื่อสาร และประมาณร้อยละ 7.0 ใช้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน
ภายใต้แผนพัฒนาประเทศฉบับล่าสุด ซาอุฯ จะสร้างโรงพยาบาล 117 แห่ง โดยเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง 32 แห่ง มีการสร้างศูนย์สุขภาพ 750 แห่ง ศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉิน 400 แห่งด้านการศึกษาจะมีการสร้างโรงเรียนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับนักเรียนจำนวน 5.31 ล้านคน ขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้สามารถรองรับนักศึกษาได้ 1.7 ล้านคน เปิดวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีเพิ่มอีก 25 แห่ง สถาบันการศึกษาขั้นสูงด้านเทคโนโลยีอีก 28 แห่ง และสถาบันฝึกอบรมทางด้านอุตสาหกรรมอีก 50 แห่ง ด้านที่อยู่อาศัยจะมีการสร้างเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านหน่วย
ทั้งนี้โครงการต่างๆ ข้างต้นที่จะดำเนินการ รัฐบาลซาอุฯ เชื่อว่าจะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับโลก และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ Knowledge-based Economy เมื่อสิ้นแผนพัฒนาฯ ในปี 2014 ชาวซาอุฯ จะมีรายได้ต่อหัว (Per Capita income) ประมาณ 14,186 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคนต่อปี เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2009 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 12,320 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคนต่อปี
ผู้อำนวยการสำนักงานฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าซาอุดีอาระเบีย มีระบบเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมีเงินทุนสำรองจำนวนมาก มีรายได้เข้าประเทศจากน้ำมัน กอร์ปกับราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่ปรับ เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะขยายตัว ด้วยเหตุผลเหล่านี้ซาอุฯ ไม่น่าที่จะมีปัญหาในการดำเนินการตามแผนพัฒนาประเทศฉบับใหม่นี้ ภายใต้แผนนี้ฯ นักธุรกิจและผู้ประกอบการไทยน่าจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้าน เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น/ตู้แช่ เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆในบ้านเครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์การเรียนการสอน อะไหล่เครื่องจักร รถยนต์ ตลอดจนสินค้าอาหารต่างๆ
ผู้ประกอบการไทยสามารถที่จะเข้าถึงตลาดซาอุฯ ได้อย่างสะดวก โดยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ ที่จัดขึ้นในเมืองสำคัญของซาอุฯ ตลอดทั้งปี หรือเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในไทย ที่กรมส่งเสริมการส่งออกเป็นผู้จัด โดยสำนักงานฯ จะนำคณะผู้แทนการค้าจากซาอุฯ เข้าเยี่ยมชมงานเป็นประจำทุกงาน ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมส่งเสริมการส่งออก หรือติดต่อสำนักงานฯ โดยตรง
อนึ่ง ในปี 2553 (มค.-มิย.) ไทยส่งออกสินค้าไปซาอุฯ แล้ว 1,102 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาการส่งออกขยายตัวถึงร้อยละ 26.15 สินค้าที่ส่งออกไปซาอุฯได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ (572 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เหล็กและเหล็กกล้า (63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ข้าว (49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน (44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และอาหารทะเลแปรรูป (37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองเจดดาห์
ที่มา: http://www.depthai.go.th