ลูกหนี้ไม่สามารถชำระค่าจำนองตรงเวลา ร้อยละ 8.1 ของครัวเรือน ไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินที่แน่นอนได้ จากข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน PricewaterhouseCoopers (PwC) แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถกู้สถานการณ์ดังกล่าว ให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วได้ จำนวนลูกหนี้ที่ไม่สามารถจ่ายค่างวดเงินกู้ ยังอยู่ในระดับสูง
ในเดือนมีนาคม 2553 ร้อยละ 8.1 ของครัวเรือนที่ทำสัญญากู้เงิน ถูกจัดอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ Non-Performing Loans (NPL) ซึ่งการปิดธุรกรรมในแต่ละกรณี การชำระเงินเกินกำหนดเวลาถึง 90 วัน หรือมากกว่านั้น ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2551 กรณีของ NPL เพิ่มขึ้นเป็น 3.1% และเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า (6.3%) ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552
เหตุผลหลักที่สำคัญ ของการไม่สามารถผ่อนชำระคือ ปัญหาทางการเงินชั่วคราว ซึ่งส่งผลจากค่าเงินโฟรินท์ที่อ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับยูโร และการเพิ่มขึ้นของอัตราคนว่างงาน PwC แสดงความคิดเห็นว่า ดูจะไม่มีทางออกสำหรับสัญญาเหล่านี้ว่าควรจะเป็นเช่นไร อาจเป็นไปได้ว่า ลูกหนี้จะเริ่มชำระเงินอีกครั้ง ภายหลังความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาทางการเงิน หรือหางานทำได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน ที่หนี้สินอาจถูกละเลย ไม่มีการผ่อนชำระอีกต่อไป
การแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องยากลำบาก เพราะการปรับตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถชดเชยกับสองปัจจัยหลัก (การอ่อนตัวของค่าเงินโฟรินท์ และ อัตราคนว่างงานที่สูงขึ้น) ที่ขัดขวางขบวนการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพได้
ภาพรวมของคนว่างงานยังคงเพิ่มขึ้น ในช่วงต้นของปี 2553 ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการชำระหนี้ ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนด ถึง 6-9 เดือน ดังนั้น เอกสารการกู้เงินของธนาคารต่างๆ คาดว่าจะอยู่ในสภาพที่แย่ลงอย่างต่อเนื่อง
ความจริงแล้ว มีตัวอย่างที่ดีจากประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาแบบเดียวกัน และวิธีแก้ปัญหาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ การที่รัฐบาลเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยจัดตั้งองค์กรของรัฐเป็นตัวกลางสะสางหนี้สิน ระหว่างธนาคารและลูกหนี้ จากความคิดเห็นของ PwC ประเทศฮังการีอาจจะต้องใช้วิธีนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน
สคร. ณ กรุงบูดาเปสต์
ที่มา: http://www.depthai.go.th