ตารางแสดงมูลค่าการค้าไทย-สเปน ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2553
ส.ค. 2553 ม.ค.-ส.ค.2553 มูลค่า (Mil.US$) เพิ่ม/ลด (%) มูลค่า (Mil.US$) เพิ่ม/ลด (%) จากเดือนก่อน ช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งออก 90.60 -6.83 712.3 +51.56 นำเข้า 37.81 +6.91 311.8 +28.73 การค้ารวม 128.41 -3.17 1,024.1 +14.34 ดุลการค้า +52.79 -14.69 +400.5 +75.81 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ในเดือนสิงหาคม 2553 ไทยกับสเปนมีมูลค่าการค้ารวม 128.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไทยเป็นฝ่ายส่งออกไปสเปน 90.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -6.83 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา โดยมีหมวดสินค้าสำคัญที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ เสืBอผ้าสำเร็จรูป (-9.19%) กุ้งสดแช่เย็น/แช่แข็ง (-19.73%) และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-6.65%) ขณะที$นำเข้าจากสเปนรวม 37.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.91 ทั้งนี้ไทยได้ดุลการค้าในเดือนนี้เพิ่มขึ้นอีก 52.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 8 เดือนแรก ปี 2553 ไทย-สเปน มียอดการค้ารวม 1,024.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยไทยมียอดส่งออกมาสเปนรวม 712.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.56 ซึ่งสามารถแบ่งโครงสร้างสินค้าส่งออก ได้ดังนี ตารางแสดงโครงสร้างสินค้าส่งออกไทยมายังสเปน ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2553 ที่ ประเภทสินค้า มูลค่า (Mil.USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) 1 เกษตรกรรม (กสิกรรม+ปศุสัตว์+ประมง) 145.7 20.46 +82.25 2 อุตสาหกรรมการเกษตร 42.0 5.89 +3.05 3 อุตสาหกรรม 524.6 73.65 +50.27 รวม 712.3 100.0 +51.56 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา พบว่าประเภทสินค้าเกษตรกรรม มีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 82.25 และสามารถเพิ่มสัดส่วนได้เกินกว่าร้อยละ 20 อันเนื่องมาจากมีความต้องการยางพาราเพิ่มสูงมาก เช่นเดียวกับการบริโภคสินค้ากุ้งแช่สด/แช่แข็ง ขณะเดียวกัน ประเภทสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวได้เล็กน้อยร้อยละ 3.05 แต่มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.89 ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมยังคงรักษาสัดส่วนอย่างคงที่ประมาณ 3 ใน 4 ของสินค้าส่งออกไทยโดยรวม ก็สามารถเติบโตได้ดีถึงร้อยละ 50.27 หมวดสินค้าหลักดั้งเดิมที่สามารถกลับมาขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+126.21%) ยางพารา (+319.90%) และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+339.53%) รวมทั้งเสื้อผ้าสำเร็จรูป (+19.50%) ขณะที่นำเข้าจากสเปน 311.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.73 ทำให้ไทยได้ดุลการค้าจากสเปนสะสม จำนวน 400.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.81 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตารางแสดงมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยมายังสเปน 10 อันดับแรก ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2553 สินค้า มูลค่า (Mil.USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) 1 เสื้อผ้าสำเร็จรูป 106.0 14.88 +19.50 2 เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 103.6 14.54 +126.21 3 ยางพารา 86.2 12.11 +319.90 4 รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 43.2 6.07 +339.53 5 กุ้งสดแช่เย็น/แช่แข็ง 39.2 5.50 +99.27 6 ผลิตภัณฑ์ยาง 27.3 3.83 +45.87 7 เลนส์ 24.0 3.37 +27.42 8 เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ 21.8 3.06 +139.14 9 ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 21.7 3.04 +20.54 10 เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ 19.9 2.79 +174.71 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร จากโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทย พบว่าสินค้า 5 อันดับแรก มีสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 50 ของยอดส่งออกทั้งหมด โดยมีเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ครองสัดส่วนสูงที่สุด แต่ถ้านับรวมสินค้า 10 อันดับแรก ก็จะมีสัดส่วนการส่งออกถึงร้อยละ 70 จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงของสินค้าที่เหลือไม่ค่อยมีผลกระทบกับยอดการส่งออกมากนัก ถึงแม้ผลการส่งออกของไทยในตลาดสเปนที่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ตอนต้นปี 2553 มาจนถึงกลางปี แต่ขณะนี้สินค้าหลักได้แสดงสัญญาณการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลได้ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีปัญหาการว่างงานเรื้อรังทื่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ รวมทั้งปัญหาที่รัฐบาลได้ออกมาตรการด่วนในการตัดค่าใช้จ่ายของภาครัฐควบคู่ไปกับการขึ้นอัตราภาษี ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบกับรายได้สำหรับใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม สินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป ยังสามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องและมียอดการส่งออกสะสมสูงเป็นอันดับหนึ่งแซงหน้าเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบไปได้อีกครั้ง นอกจากนั้น สินค้ายางพาราก็ยังมีความต้องการในตลาดสูงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนมีสัดส่วนเกินกว่าระดับร้อยละ 10 ขณะที่สินค้ากุ้งแช่เย็น/แช่แข็งของไทยที่สามารถเพิ่มปริมาณและมูลค่าการส่งออกได้อย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ จนทำให้ยอดการส่งออกปรับตัวลดลงติดต่อกันมา 2 เดือน ในช่วงเดียวกันไทยนำเข้าสินค้าจากสเปน เป็นมูลค่า 311.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 28.73 ซึ่งสินค้าส่วนมากเป็นสินค้าที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้แก่ เคมีภัณฑ์ เหล็ก โลหะ และสัตว์น้ำสด เป็นต้น รองลงมาเป็นสินค้าประเภททุน ได้แก่ เครื่องจักรต่างๆ และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์/เภสัชกรรม โดยมีรายละเอียดการนำเข้าสินค้า 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุด ดังนี ตารางแสดงมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากสเปน 5 อันดับแรก ช่วง 8 เดือนแรก ปี 2553 สินค้า มูลค่า (Mil.USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) เคมีภัณฑ์ 54.9 17.61 +62.94 เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 38.7 12.43 +61.07 ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม 30.2 9.67 -1.27 สัตว์น้ำสดแช่เย็น/แช่แข็ง/แปรรูป/กึ่งสำเร็จรูป 18.3 5.88 +16.64 เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 15.1 4.84 +47.00 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของราชอาณาจักรสเปนที่มีผลกระทบกับการส่งออกของไทย ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของสเปนกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ รวมทั้งการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่เป็นตัวเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าก่อนที่การปรับเพิ่มภาษีจะมีผลบังคับใช้นั้น ขณะนี้ปัจจัยเหล่านั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้ในช่วงหลังของปีอีกต่อไปและอาจจะก่อให้เกิดความผันผวนต่อเศรษฐกิจได้สูง ดังนั้น จึงมีการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะหันกลับไปติดลบอีกครั้งถึงแม้จะไม่รุนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมาก็ตามดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจบางตัวเริ่มแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคได้ลดการจับจ่ายใช้สอยลง ขณะเดียวกันภาครัฐก็ปรับลดรายจ่ายลง เช่นกัน จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น จึงทำให้การว่างงานยังคงเป็นปัญหาใหญ่เรื้อรังอยู่ต่อไป ซึ่งขณะนี้มีอัตราสูงกว่าร้อยละ 20 ของตลาดแรงงานแล้ว ดังนั้น การฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการปฏิรูปกันอย่างถึงรากถึงโคนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อจะลดอัตราคนว่างงานลงให้ได้ระดับมาตรฐานของประเทศอื่นๆ ในยุโรปให้ได้ ในขณะที่สเปนยังไม่สามารถปลดตัวเองให้ออกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้อย่างสมบูรณ์ซึ่งสวนทางกับภาพรวมของประเทศอื่นๆในเขต Euro Zone ที่สามารถกอบกู้ความเข้มแข็งกลับคืนมาได้โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP ประมาณร้อยละ 1 ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน อันเนื่องมาจากการกระตุ้นการลงทุนและการส่งออก รวมทั้งการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศเยอรมนีและฟินแลนด์ที่ถือว่ามีผลประกอบการสูงที่สุด ส่วนสหราชอาณาจักรก็สามารถหลุดพ้นจากภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจจนกลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง ทั้งนี้ จากผลการเติบโตของ GDP ใน Euro Zone ที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ธนาคารกลางของสหภาพยุโรปต้องปรับเพิ่มตัวเลขพยากรณ์เศรษฐกิจสำหรับปี 2553-2554 ใหม่ จากร้อยละ 1.4 เป็น 1.8 ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2553 จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงก็ตาม และธนาคารกลางของสหภาพยุโรปก็จะพยายามรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 1 ต่อไป ที่มา: http://www.depthai.go.th