สเปนนิยมเรียกการทำเกษตรอินทรีย์ว่า Ecological Agriculture หรือ Ecological Farming ซึ่งได้รับการบัญญัติทางกฎหมายตั้งแต่ปี 2532 ก่อนที่จะปรับมาอยู่ภายใต้กฎระเบียบของสหภาพยุโรปว่าด้วยการเกษตรอินทรีย์ (EEC 2092/91) และกฎระเบียบเกี่ยวกับการผลิต การควบคุม และการติดฉลากผลิตภัณฑ์ อินทรีย์ (EC 834/2007-EC889/228-EC1235/2008) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552
สเปนถือว่าเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่มีอุณหภูมิเหมาะสมกับการทำการเพาะปลูกและปศุสัตว์แบบเกษตรอินทรีย์ องค์กรในแต่ละท้องถิ่นจะเป็นผู้กำกับดูแลและออกใบรับรองผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ผ่านคณะกรรมการการเกษตรสาธารณะที่ขึ่นอยู่กับองค์กรการเกษตรของแต่ละแคว้น
ผลิตภัณฑ์อินทรีย์นอกจากจะต้องแสดงตราสินค้าของตนเองแล้ว ยังต้องแสดงรหัสและชื่อขององค์กรที่รับรองด้วย รวมทั้งรหัส AE ของสหภาพยุโรปซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เพื่อให้ผู้บริโภคสังเกตเห็นได้ชัดเจน
กระทรวงการเกษตรของสเปนได้จัดสัมมนาเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2548 เพื่อทำการส่งเสริมการผลิตอาหารอินทรีย์ โดยมีหัวข้อที่สำคัญ ได้แก่ การวิเคราะห์การผลิต การส่งเสริมการบริโภคและการตลาดเชิงพาณิชย์ และแนะนำองค์กรที่สามารถให้ความช่วยเหลือการทำเกษตรอินทรีย์
สเปน ถือว่าเป็นประเทศในลำดับแรกๆของยุโรปที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์เนื่องจากมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม รวมทั้งโปรตุเกสและกรีซ แต่การบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ในสเปนเองกลับมีไม่มากขณะที่อัตราการบริโภคทั่วโลกมีการขยายตัวสูงในหลายปีที่ผ่านมา สเปนส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ประมาณร้อยละ 80 ของผลผลิตที่ผลิตได้ โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร
จากสถิติพบว่าการบริโภคอาหารอินทรีย์ภายในประเทศสเปนเองยังมีมูลค่าต่ำมาก เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปและยังอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ในภาคการผลิตมีการขยายตัวร้อยละ 20 ต่อปี เม0อปี 2552 คิดเป็นพื้นที่เพาะปลูกรวมประมาณ 1,602,870 เฮกแตร์ โดยมีผู้ประกอบการ ทั้งสิ้น 27,627 ราย แบ่งเป็น เกษตรกร 25,291 ราย อุตสาหกรรม 2,465 ราย และ ผู้นำเข้า 93 ราย
พื้นที่เพาะปลูกการเกษตรอินทรีย์ พอจำแนกตามชนิดของพืชพันธุ์ได้ ดังนี้
- ธัญพืชและข้าว 183,458 เฮกแตร์
- พืชน้ำมัน 127,040 เฮกแตร์
- ผลไม้แห้ง 87,335 เฮกแตร์
- ไวน์ 53, 958 เฮกแตร์
- ผัก 7,535 เฮกแตร์
- ผลไม้และพืชตระกูลส้ม 5,100 เฮกแตร์
- พืชตระกูลถัว0 5,011 เฮกแตร์
แหล่งเพาะปลูกการเกษตรอินทรีย์ จำแนกตามแคว้นได้ ดังนี
- Andalucia 866,799 เฮกแตร์
- Extremadura 115,018 เฮกแตร์
- Catalonia 71,734 เฮกแตร์
- Aragon 66,730 เฮกแตร์
- Murcia 60,742 เฮกแตร์
- Valencia Community 38,754 เฮกแตร์
- Asturias 14,019 เฮกแตร์
- Madrid 6,043 เฮกแตร์
- Cantabria 5,796 เฮกแตร์
สำหรับการทำปศุสัตว์อินทรีย์ มีผู้ประกอบการ 3,900 รายในปี 2552 โดยมากเป็น วัว สัตว์ปีก ผึ้ง แกะ หมู และ แพะ พื้นที่เพาะเลี้ยงส่วนมากอยู่ในแคว้น Andalucia ซึ0งมีผู้ประกอบการถึง 2,100 ราย ตามมาด้วยแคว้น Catalonia 390 ราย และ แคว้น Balearic 350 ราย
สำหรับช่องทางการจำหน่าย จะเริ่มจากเกษตรกรทำการขายผลิตภัณฑ์ให้แก่อุตสาหกรรมการผลิตโดยตรง ก่อนจะส่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปผ่านตลาดค้าปลีกและซุปเปอร์มาร์เก็ตไปสู่ผู้บริโภค แต่ขณะนี้ ได้มีช่องทางการจำหน่ายใหม่เกิดขึ้น กล่าวคือ เกษตรกรจะจำหน่ายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคเองโดยผ่านตัวกลางที่ทำหน้าที่จัดส่งให้เท่านั้น ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้ามีราคาต่ำลงและมีสภาพใหม่สด ส่วนในภาคการส่งออก ผู้ผลิตจะเป็นผู้ส่งออกเองหรือขายผลิตภัณฑ์ให้แก่อุตสาหกรรมการส่งออกอีกทอดหนึ่ง
ผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ จะมีราคาจำหน่ายปลีกสู่ผู้บริโภคสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทัว0 ไปอยู่ประมาณร้อยละ 15-20 จึงทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อมารับประทานได้เป็นประจำ ยกเว้นในกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคหลัก คือ ผู้หญิงที่อยู่ในวัย 30 ถึง 50 ปี
โดยปกติมูลค่าการจำหน่ายสินค้าอาหารอินทรีย์ภายในประเทศตกประมาณปีละ 350-400 ล้านยูโร แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมาตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลกระทบต่อยอดขายกว่าร้อยละ 50 อัตราบริโภคอาหารอินทรีย์โดยเฉลี่ยต่อหัวประมาณ 10-15 ยูโรต่อปี ขณะที่อัตราการบริโภคเฉลียต่อหัวของยุโรปประมาณ 30 ยูโรต่อปี โดยชาวสวิสมีอัตราการบริโภคต่อหัวสูงที่สุด คือ 125 ยูโรต่อปี รองลงมาได้แก่ชาวเยอรมัน 105 ยูโรต่อปี
1. ระบบช่องทางการจำหน่ายสำหรับการบริโภคที0ต้องได้รับการพัฒนาและปรับปรุง
2. ผู้บริโภคยังไม่ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของอาหารอินทรีย์เท่าที0ควร
3. ปัญหาภาวะเศรษฐกิจท0ไม่เอื4ออำนวยต่อสินค้าทางเลือกท0มีระดับราคาแพงกว่าสินค้าปกติ
ที่มา: http://www.depthai.go.th