พลเอก บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในรายการ “สายตรงทำเนียบ” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ ว่า ขณะนี้จะเห็นได้ว่าสังคมไทยทั้งในพื้นที่ภาคใต้ และกรุงเทพฯ เกิดความแตกแยก และมีแนวโน้มจะแตกแยกมากขึ้น กระทรวงกลาโหมจึงได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องรู้รักสามัคคี มาเป็นแนวทางปฏิบัติ ซึ่งกระทรวงกลาโหมมีนโยบายการสร้างความสมานฉันท์ โดยใช้แนวทางสันติวิธีนำการทหาร พยายามทำความเข้าใจ เพื่อลดเงื่อนไขในการเผชิญหน้า เป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งใช้การปลูกฝังอุดมการณ์ให้ประชาชนรู้รักสามัคคีในการสร้างความสมานฉันท์ในพื้นที่กรุงเทพฯ
ส่วนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลพยายามที่จะแก้ปัญหานี้ให้สำเร็จและเป็นรูปธรรม โดยเน้นเรื่องการพัฒนาในทุกด้านที่นำแนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” มาใช้ การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นหรือลดความรุนแรงให้น้อยลง รวมทั้งมีการเจรจาในทุกระดับ เพื่อดึงมวลชนเข้ามาอยู่กับทางราชการให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน โดยเริ่มจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนและมาเชื่อมโยงกับหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มการเมือง กลุ่มค้ายาเสพติด กลุ่มที่ลักลอบหนีภาษีต่าง ๆ อีกทั้งยังมีเงื่อนไขพื้นฐานที่ว่าประชาชนยังมีความยากไร้ทางวัตถุและคับแค้นทางจิตใจ มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ศาสนา ประกอบกับอำนาจรัฐในอดีตเข้าไปไม่ค่อยถึง ทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น รัฐบาลจึงปรับนโยบายโดยใช้แนวทางสันติวิธี ความสมานฉันท์ และรื้อฟื้นการทำงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร ซึ่งเมื่อเราปรับตัวแล้วภารกิจทุกด้านที่ดำเนินการจะสอดคล้องกันและนำไปสู่ความสำเร็จ
ต่อข้อถามว่าความรู้รักสามัคคีและความสมานฉันท์จะสามารถเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้หรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าเราใช้สติ ปัญญา เราจะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เวลานี้รัฐบาลต้องการให้เกิดความสมานฉันท์มากที่สุด เพื่อที่จะขับเคลื่อนประชาธิปไตยไปสู่การมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ในการที่จะได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นใหม่
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
ส่วนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลพยายามที่จะแก้ปัญหานี้ให้สำเร็จและเป็นรูปธรรม โดยเน้นเรื่องการพัฒนาในทุกด้านที่นำแนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” มาใช้ การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นหรือลดความรุนแรงให้น้อยลง รวมทั้งมีการเจรจาในทุกระดับ เพื่อดึงมวลชนเข้ามาอยู่กับทางราชการให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน โดยเริ่มจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนและมาเชื่อมโยงกับหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มการเมือง กลุ่มค้ายาเสพติด กลุ่มที่ลักลอบหนีภาษีต่าง ๆ อีกทั้งยังมีเงื่อนไขพื้นฐานที่ว่าประชาชนยังมีความยากไร้ทางวัตถุและคับแค้นทางจิตใจ มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ศาสนา ประกอบกับอำนาจรัฐในอดีตเข้าไปไม่ค่อยถึง ทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น รัฐบาลจึงปรับนโยบายโดยใช้แนวทางสันติวิธี ความสมานฉันท์ และรื้อฟื้นการทำงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร ซึ่งเมื่อเราปรับตัวแล้วภารกิจทุกด้านที่ดำเนินการจะสอดคล้องกันและนำไปสู่ความสำเร็จ
ต่อข้อถามว่าความรู้รักสามัคคีและความสมานฉันท์จะสามารถเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้หรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าเราใช้สติ ปัญญา เราจะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เวลานี้รัฐบาลต้องการให้เกิดความสมานฉันท์มากที่สุด เพื่อที่จะขับเคลื่อนประชาธิปไตยไปสู่การมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ในการที่จะได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นใหม่
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--