แท็ก
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
อภิชาต สุขัคคานนท์
สุรยุทธ์ จุลานนท์
สนธิ บุญยรัตกลิน
นรนิติ เศรษฐบุตร
วันนี้ เวลา 17.35 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี แถลงว่า ในวันนี้ได้มีการหารือร่วมกันกับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ นายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญและนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่า ในการหารือได้มีการพูดถึงสถานการณ์และการคลี่คลายของสถานการณ์ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาข้างหน้า ในขณะนี้เรียนได้ว่ายังไม่มีการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น ถ้าหากเหตุการณ์เกิดขึ้นตามพระราชกำหนดดังกล่าว ได้มอบอำนาจให้กับตนเองในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่จะดำเนินการได้ ทั้งนี้ เมื่อเหตุการณ์อยู่ในสภาวะฉุกเฉินตามพระราชกำหนด จะได้ดำเนินการ โดยได้มีการเตรียมการและมีการทำความเข้าใจ
"ผมขอเรียนในตอนนี้ว่าเราจะทำความเข้าใจกับทุก ๆ ภาคส่วน ที่จะไม่ให้สถานการณ์ไปสู่จุดนั้น พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาสถานการณ์ทางการเมืองไม่ให้ไปสู่จุดซึ่งมีปัญหากับชาติบ้านเมืองของเราต่อไป อย่างที่เรียนไว้แล้วว่า ผมไม่อยากเห็นการเผชิญหน้า ไม่อยากเห็นการปะทะกันของผู้คน ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราจะพยายามอย่างเต็มที่ด้วยวิธีการทุกประการที่จะไม่ให้สถานการณ์ไปสู่จุดนั้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ระหว่างนี้จะมีมาตรการควบคุมดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมต่าง ๆ หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการกันต่อไป ตามที่ได้มอบหมายไปแล้ว ตนเองคงไม่ลงไปในรายละเอียด และสื่อมวลชนคงทราบอยู่แล้วว่าผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายนั้นคือใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้ระยะเวลาในการประเมินสถานการณ์นานเท่าไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะได้ติดตามสถานการณ์ไปตลอด ซึ่งได้ให้ข้อคิดเห็นว่าถ้าสถานการณ์ไม่สอดคล้องกับสภาวะที่เรียกว่าเป็นสภาวะของความฉุกเฉินที่กระทบต่อความมั่นคง เราคงไม่สามารถที่จะใช้กฎหมายหรือพระราชกำหนดฉบับนั้นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในสัปดาห์หน้านายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นได้มอบหมายงานให้บุคคลใดดูแลและจะมีอำนาจในการตัดสินใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงจะต้องรอ เพราะยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ และคงต้องรอให้ผ่านพ้นช่วงเวลา 3-4 วันนี้ไปก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การหารือวันนี้ผลสรุปเป็นที่พอใจของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการตกลงกันและได้มีการหารือกันแล้ว มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นข่าวสารซึ่งกันและกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายความมั่นคงมีความหวั่นใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การหารือวันนี้เป็นข้อยุติแล้ว ความคาดหวังที่จะมองสถานการณ์ต่าง ๆ นั้นเป็นส่วนที่ทุกฝ่ายได้แสดงออกในที่ประชุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งใดที่จะบอกว่าได้ว่าคือสถานการณ์ฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในพระราชกำหนดดังกล่าวระบุไว้ชัดเจนในมาตรา 4 ว่า สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรียืนยันจะไม่ถอดใจหรือไม่ลาออกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่อยากจะพูดในประเด็นนี้อีก การที่มายืนแถลงข่าวอยู่นี้คงยืนยันได้ว่าตนเองยังรับผิดชอบและยังทำงานอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้าน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจหรือไม่กับการตัดสินใจในวันนี้เพราะแนวทางอาจจะไม่สอดคล้องกับความเห็นของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้มีความหนักใจอะไร เราพูดกันอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ของข้อกฎหมาย เพราะฉะนั้น เมื่อได้ชี้แจงว่าทุกคนก็เห็นชอบกับมติดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าจะพยายามประสานทุกฝ่าย จะดำเนินการอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุก ๆ ภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลจะต้องดำเนินการร่วมกัน จะต้องพยายามที่จะสร้างความเข้าใจทำความเข้าใจ พูดจากับผู้ที่อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างให้เกิดความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่า เราไม่ควรที่จะทำให้สถานการณ์ไปสู่ความรุนแรง รวมทั้งจะทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ PTV ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการต่อไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
"ผมขอเรียนในตอนนี้ว่าเราจะทำความเข้าใจกับทุก ๆ ภาคส่วน ที่จะไม่ให้สถานการณ์ไปสู่จุดนั้น พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาสถานการณ์ทางการเมืองไม่ให้ไปสู่จุดซึ่งมีปัญหากับชาติบ้านเมืองของเราต่อไป อย่างที่เรียนไว้แล้วว่า ผมไม่อยากเห็นการเผชิญหน้า ไม่อยากเห็นการปะทะกันของผู้คน ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราจะพยายามอย่างเต็มที่ด้วยวิธีการทุกประการที่จะไม่ให้สถานการณ์ไปสู่จุดนั้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ระหว่างนี้จะมีมาตรการควบคุมดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมต่าง ๆ หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการกันต่อไป ตามที่ได้มอบหมายไปแล้ว ตนเองคงไม่ลงไปในรายละเอียด และสื่อมวลชนคงทราบอยู่แล้วว่าผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายนั้นคือใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้ระยะเวลาในการประเมินสถานการณ์นานเท่าไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะได้ติดตามสถานการณ์ไปตลอด ซึ่งได้ให้ข้อคิดเห็นว่าถ้าสถานการณ์ไม่สอดคล้องกับสภาวะที่เรียกว่าเป็นสภาวะของความฉุกเฉินที่กระทบต่อความมั่นคง เราคงไม่สามารถที่จะใช้กฎหมายหรือพระราชกำหนดฉบับนั้นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในสัปดาห์หน้านายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นได้มอบหมายงานให้บุคคลใดดูแลและจะมีอำนาจในการตัดสินใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงจะต้องรอ เพราะยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ และคงต้องรอให้ผ่านพ้นช่วงเวลา 3-4 วันนี้ไปก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การหารือวันนี้ผลสรุปเป็นที่พอใจของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการตกลงกันและได้มีการหารือกันแล้ว มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นข่าวสารซึ่งกันและกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายความมั่นคงมีความหวั่นใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การหารือวันนี้เป็นข้อยุติแล้ว ความคาดหวังที่จะมองสถานการณ์ต่าง ๆ นั้นเป็นส่วนที่ทุกฝ่ายได้แสดงออกในที่ประชุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งใดที่จะบอกว่าได้ว่าคือสถานการณ์ฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในพระราชกำหนดดังกล่าวระบุไว้ชัดเจนในมาตรา 4 ว่า สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรียืนยันจะไม่ถอดใจหรือไม่ลาออกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่อยากจะพูดในประเด็นนี้อีก การที่มายืนแถลงข่าวอยู่นี้คงยืนยันได้ว่าตนเองยังรับผิดชอบและยังทำงานอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้าน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจหรือไม่กับการตัดสินใจในวันนี้เพราะแนวทางอาจจะไม่สอดคล้องกับความเห็นของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้มีความหนักใจอะไร เราพูดกันอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ของข้อกฎหมาย เพราะฉะนั้น เมื่อได้ชี้แจงว่าทุกคนก็เห็นชอบกับมติดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าจะพยายามประสานทุกฝ่าย จะดำเนินการอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุก ๆ ภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลจะต้องดำเนินการร่วมกัน จะต้องพยายามที่จะสร้างความเข้าใจทำความเข้าใจ พูดจากับผู้ที่อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างให้เกิดความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่า เราไม่ควรที่จะทำให้สถานการณ์ไปสู่ความรุนแรง รวมทั้งจะทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ PTV ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการต่อไป
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--