นายกรัฐมนตรีร่วมรายการพิเศษ 19 ปี ทีวีเพื่อปวงชนเนื่องในโอกาสครบรอบ 19 ปีของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ พร้อมรับบริจาคสมทบกองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันนี้ เวลา 20.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อร่วมรายการพิเศษ “19 ปี ทีวีเพื่อปวงชน” เนื่องในโอกาสครบรอบ 19 ปีของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2550 โดยการจัดรายการพิเศษครั้งนี้ทางกรมประชาสัมพันธ์ได้เชิญชวนให้ประชาชนร่วมสมทบกองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสามารถบริจาคสมทบกองทุนฯ ผ่านบัญชีชื่อ “กองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ธนาคารทหารไทย สาขาสนามเสือป่าเลขที่ 046-2-42500-0 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับมอบเงินสมทบกองทุนฯ จากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชนที่มีจิตศรัทธา ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงที่มาของกองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า สืบเนื่องจากการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่และประชาชน จึงมีแนวคิดว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ควรจะได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทันเวลา นอกเหนือไปจากการช่วยเหลือของภาครัฐที่ได้ดำเนินการอยู่ โดยกองทุนฯ นี้ได้ตั้งขึ้นเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2550 และเริ่มรับบริจาคจากประชาชนเป็นครั้งแรกวันที่ 29 มีนาคม 2550 จนถึงขณะนี้มีเงินที่ได้รับบริจาคประมาณ 53 ล้านบาท ใช้ไปแล้วประมาณ 40 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้นำเงินกองทุนฯ ไปดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต ครอบครัวผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยจำนวนเงินที่ช่วยเหลือนั้นเป็นจำนวนมากกว่าที่ทางภาครัฐให้การช่วยเหลืออยู่ เช่น กรณีนายตำรวจ 2 ราย ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบวางระเบิด ก็ได้นำเงินกองทุนฯ นี้ไปช่วยเหลือ ทำให้ครอบครัวเกิดความเชื่อมั่นว่าภาครัฐไม่ได้ทอดทิ้ง รวมทั้งดำเนินการก่อสร้างกำแพงวัดจำนวน 3 แห่ง คือวัดที่อำเภอกาบัง วัดที่ตัวเมืองยะลา และวัดที่อำเภอเบตง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะใช้เงินกองทุนฯ ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล ส่วนรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาจะดำเนินการอย่างไรกับกองทุนฯ หรือจะเข้ามาสานต่อ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐบาลชุดใหม่
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 20.30 น. พลเอก สุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อร่วมรายการพิเศษ “19 ปี ทีวีเพื่อปวงชน” เนื่องในโอกาสครบรอบ 19 ปีของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2550 โดยการจัดรายการพิเศษครั้งนี้ทางกรมประชาสัมพันธ์ได้เชิญชวนให้ประชาชนร่วมสมทบกองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสามารถบริจาคสมทบกองทุนฯ ผ่านบัญชีชื่อ “กองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ธนาคารทหารไทย สาขาสนามเสือป่าเลขที่ 046-2-42500-0 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับมอบเงินสมทบกองทุนฯ จากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชนที่มีจิตศรัทธา ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงที่มาของกองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า สืบเนื่องจากการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่และประชาชน จึงมีแนวคิดว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ควรจะได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทันเวลา นอกเหนือไปจากการช่วยเหลือของภาครัฐที่ได้ดำเนินการอยู่ โดยกองทุนฯ นี้ได้ตั้งขึ้นเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2550 และเริ่มรับบริจาคจากประชาชนเป็นครั้งแรกวันที่ 29 มีนาคม 2550 จนถึงขณะนี้มีเงินที่ได้รับบริจาคประมาณ 53 ล้านบาท ใช้ไปแล้วประมาณ 40 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้นำเงินกองทุนฯ ไปดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต ครอบครัวผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยจำนวนเงินที่ช่วยเหลือนั้นเป็นจำนวนมากกว่าที่ทางภาครัฐให้การช่วยเหลืออยู่ เช่น กรณีนายตำรวจ 2 ราย ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบวางระเบิด ก็ได้นำเงินกองทุนฯ นี้ไปช่วยเหลือ ทำให้ครอบครัวเกิดความเชื่อมั่นว่าภาครัฐไม่ได้ทอดทิ้ง รวมทั้งดำเนินการก่อสร้างกำแพงวัดจำนวน 3 แห่ง คือวัดที่อำเภอกาบัง วัดที่ตัวเมืองยะลา และวัดที่อำเภอเบตง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะใช้เงินกองทุนฯ ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล ส่วนรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาจะดำเนินการอย่างไรกับกองทุนฯ หรือจะเข้ามาสานต่อ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐบาลชุดใหม่
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--