นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนงานตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการปลูกต้นไม้ใช้หนี้ ครั้งที่ 1/2550
วันนี้ เวลา 10.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนงานตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการปลูกต้นไม้ใช้หนี้ ครั้งที่ 1/2550
นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีกระแสพระราชดำรัสว่าทรงมีความห่วงใยเรื่องสภาวะโลกร้อน ดังนั้น การประชุมในวันนี้จะได้พูดกันถึงการแก้ไขสภาวะผันผวนของอากาศ ด้วยการทำให้มีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สามารถแปรเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นออกซิเจนได้ ฉะนั้น นโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันได้เน้นในเรื่องของการเพิ่มพื้นที่ป่ามาโดยตลอด ซึ่งโครงการนี้มุ่งเน้นให้คนไทย โดยเฉพาะเกษตรกรได้ปลูกต้นไม้เพื่อใช้หนี้ ซึ่งจะสามารถใช้หนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่เกินสิบปี โดยใช้พื้นที่ของเกษตรกร และแรงงาน รวมทั้งความเอาใจใส่
นายยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงสรุปผลการประชุมว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษในการแก้ไขปัญหาสภาวะความผันผวนของอากาศ สภาวะโลกร้อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัสห่วงใย และพิจารณาการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มพื้นที่ป่าให้มากขึ้น เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้มากขึ้นในเวลากลางคืน ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายเน้นการเพิ่มพื้นที่ป่า และมีนโยบายลดภาระหนี้สินของเกษตรกรด้วยการปลูกป่า ภายในระยะเวลาไม่เกินสิบปี โดยไม่ต้องมีการลงทุนมาก
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาความคืบหน้าการดำเนินการโครงการดังกล่าว จากเดิมมีการนำร่องใน 12 ศูนย์เรียนรู้คืนชีวิตให้แผ่นดิน ปลดเปลื้องหนี้สินเกษตรกร ตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการปลูกต้นไม้ใช้หนี้ มีครอบครัวเข้าร่วมโครงการ 30,000 ครอบครัว ใน 33 จังหวัด เพิ่มเป็น 19 ศูนย์ฯ มีสมาชิกทั้งหมด 40,000 ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีสมาชิก 3,000 ครอบครัว รวมสมาชิกเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 4,691 ครอบครัว โดยมีเป้าหมายการดำเนินการคือสนับสนุนให้เกษตรกร 10 ล้านครอบครัว ปลูกป่า 10 ล้านไร่ ครอบครัวละ 4-5 ไร่ ในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปี 2550-2554) หรือตลอดช่วงระยะเวลาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ซึ่งกำหนดแนวทางการดำเนินการคือ จัดตั้งกลุ่มปลูกต้นไม้ใช้หนี้ในระดับตำบลที่มาจากการรวมกลุ่มในระดับหมู่บ้านในพื้นที่ตำบลเดียวกันมากกว่า 3 หมู่บ้าน และมีสมาชิกกลุ่มทั้งตำบลไม่ต่ำกว่า 200 คน ภายใต้กระบวนการประชาคมในระดับหมู่บ้านตำบล โดยกลุ่มระดับตำบลจะเป็นผู้นำเสนอโครงการต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง จัดอบรมสมาชิกในศูนย์ฯ
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการแผนการขับเคลื่อนงานตามวาระแห่งชิตว่าด้วยการ ปลูกต้นไม้ใช้หนี้ ปี 2550 -2551 ดังนี้ ช่วงเดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน 2550 จะสนับสนุนการทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ใช้หนี้ในระดับชุมชน/ตำบล จำนวน 1,000 ตำบล และสนับสนุนศูนย์ฯ ในระยะต่อไป ปี 2551-2554 สนับสนุนการทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ใช้หนี้ในระดับชุมชน/ตำบล ปีละ 1,600 ตำบล ซึ่งตลอดระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี จะสนับสนุนรวมจำนวน 6,400 ตำบล ดังนั้น โครงการดังกล่าวจะสนับสนุนกิจกรรมปลูกต้นไม้ใช้หนี้ รวมทั้งหมด 7,400 ตำบล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ มีประชากรเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 10 ล้านครอบครัวตามเป้าหมาย
ในส่วนของงบประมาณการดำเนินการนั้น ที่ประชุมอนุมัติในหลักการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนงานตามวาระแห่งชาติ โดยให้ใช้งบตามยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุขและโครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง (พพพ.) งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และการสนับสนุนของรัฐวิสาหกิจ บริษัทเอชน เพื่อสนับสนุนการทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ใช้หนี้ในระดับชุมชน/ตำบล ดังนี้ การดำเนินงาน ในปี 2550 (เดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน 2550) โดยกำหนดงบประมาณตำบลละ 400,000 บาท ทั้งหมด 1,000 ตำบล รวมเป็นเงิน 400 ล้านบาท รวมทั้งงบประมาณจัดตั้งศูนย์ฯ 50 ล้านบาท และการดำเนินงานในช่วง ปี 2551-2554 โดยกำหนดงบประมาณปีละ 640 ล้านบาท และงบสนับสนุนจัดตั้งศูนย์ฯ อีกปีละ 230 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องประสานศูนย์ศึกษาพัฒนาตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจัดตั้งให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 10.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนงานตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการปลูกต้นไม้ใช้หนี้ ครั้งที่ 1/2550
นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดการประชุมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีกระแสพระราชดำรัสว่าทรงมีความห่วงใยเรื่องสภาวะโลกร้อน ดังนั้น การประชุมในวันนี้จะได้พูดกันถึงการแก้ไขสภาวะผันผวนของอากาศ ด้วยการทำให้มีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สามารถแปรเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นออกซิเจนได้ ฉะนั้น นโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันได้เน้นในเรื่องของการเพิ่มพื้นที่ป่ามาโดยตลอด ซึ่งโครงการนี้มุ่งเน้นให้คนไทย โดยเฉพาะเกษตรกรได้ปลูกต้นไม้เพื่อใช้หนี้ ซึ่งจะสามารถใช้หนี้ได้ภายในระยะเวลาไม่เกินสิบปี โดยใช้พื้นที่ของเกษตรกร และแรงงาน รวมทั้งความเอาใจใส่
นายยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงสรุปผลการประชุมว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษในการแก้ไขปัญหาสภาวะความผันผวนของอากาศ สภาวะโลกร้อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัสห่วงใย และพิจารณาการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มพื้นที่ป่าให้มากขึ้น เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้มากขึ้นในเวลากลางคืน ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายเน้นการเพิ่มพื้นที่ป่า และมีนโยบายลดภาระหนี้สินของเกษตรกรด้วยการปลูกป่า ภายในระยะเวลาไม่เกินสิบปี โดยไม่ต้องมีการลงทุนมาก
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาความคืบหน้าการดำเนินการโครงการดังกล่าว จากเดิมมีการนำร่องใน 12 ศูนย์เรียนรู้คืนชีวิตให้แผ่นดิน ปลดเปลื้องหนี้สินเกษตรกร ตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการปลูกต้นไม้ใช้หนี้ มีครอบครัวเข้าร่วมโครงการ 30,000 ครอบครัว ใน 33 จังหวัด เพิ่มเป็น 19 ศูนย์ฯ มีสมาชิกทั้งหมด 40,000 ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีสมาชิก 3,000 ครอบครัว รวมสมาชิกเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 4,691 ครอบครัว โดยมีเป้าหมายการดำเนินการคือสนับสนุนให้เกษตรกร 10 ล้านครอบครัว ปลูกป่า 10 ล้านไร่ ครอบครัวละ 4-5 ไร่ ในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปี 2550-2554) หรือตลอดช่วงระยะเวลาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ซึ่งกำหนดแนวทางการดำเนินการคือ จัดตั้งกลุ่มปลูกต้นไม้ใช้หนี้ในระดับตำบลที่มาจากการรวมกลุ่มในระดับหมู่บ้านในพื้นที่ตำบลเดียวกันมากกว่า 3 หมู่บ้าน และมีสมาชิกกลุ่มทั้งตำบลไม่ต่ำกว่า 200 คน ภายใต้กระบวนการประชาคมในระดับหมู่บ้านตำบล โดยกลุ่มระดับตำบลจะเป็นผู้นำเสนอโครงการต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง จัดอบรมสมาชิกในศูนย์ฯ
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการแผนการขับเคลื่อนงานตามวาระแห่งชิตว่าด้วยการ ปลูกต้นไม้ใช้หนี้ ปี 2550 -2551 ดังนี้ ช่วงเดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน 2550 จะสนับสนุนการทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ใช้หนี้ในระดับชุมชน/ตำบล จำนวน 1,000 ตำบล และสนับสนุนศูนย์ฯ ในระยะต่อไป ปี 2551-2554 สนับสนุนการทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ใช้หนี้ในระดับชุมชน/ตำบล ปีละ 1,600 ตำบล ซึ่งตลอดระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี จะสนับสนุนรวมจำนวน 6,400 ตำบล ดังนั้น โครงการดังกล่าวจะสนับสนุนกิจกรรมปลูกต้นไม้ใช้หนี้ รวมทั้งหมด 7,400 ตำบล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ มีประชากรเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 10 ล้านครอบครัวตามเป้าหมาย
ในส่วนของงบประมาณการดำเนินการนั้น ที่ประชุมอนุมัติในหลักการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนงานตามวาระแห่งชาติ โดยให้ใช้งบตามยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุขและโครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง (พพพ.) งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และการสนับสนุนของรัฐวิสาหกิจ บริษัทเอชน เพื่อสนับสนุนการทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ใช้หนี้ในระดับชุมชน/ตำบล ดังนี้ การดำเนินงาน ในปี 2550 (เดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน 2550) โดยกำหนดงบประมาณตำบลละ 400,000 บาท ทั้งหมด 1,000 ตำบล รวมเป็นเงิน 400 ล้านบาท รวมทั้งงบประมาณจัดตั้งศูนย์ฯ 50 ล้านบาท และการดำเนินงานในช่วง ปี 2551-2554 โดยกำหนดงบประมาณปีละ 640 ล้านบาท และงบสนับสนุนจัดตั้งศูนย์ฯ อีกปีละ 230 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องประสานศูนย์ศึกษาพัฒนาตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจัดตั้งให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--