คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายระเบียบการฝากเงินและการโอนเงินตราต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท ตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อผ่อนคลายการโอนเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศให้มีความสมดุลมากขึ้น และสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย
วันนี้ เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายระเบียบการฝากเงินและการโอนเงินตราต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท ตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นสมควรผ่อนคลายการโอนเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศให้มีความสมดุลมากขึ้น และสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยมีสาระสำคัญ คือ
1. ให้ธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและกำกับดูแลจากหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว สามารถซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้ไม่เกิน จำนวน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ.ต่อปี ทั้งนี้ ธุรกิจที่จดทะเบียนดังกล่าวต้องเป็นธุรกิจที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นในปีบัญชีที่ผ่านมาเป็นบวก และไม่อยู่ในกลุ่มบริษัทที่เข้าข่ายถูกเพิกถอนการจดทะเบียน (Rehabilitation)
2. ให้บุคคลไทย ทั้งที่เป็นนิติบุคคล และบุคคลธรรมดามีความคล่องตัวในการฝากเงินที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศไว้กับสถาบันการเงินในประเทศมากขึ้น โดยมีรายละเอียด 2 ประการ คือ
2.1 ผู้ที่มีเงินตราต่างประเทศอันมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด อาทิ รับชำระค่าสินค้าออก หรือกู้ยืมจากต่างประเทศ สามารถฝากเงินตราต่างประเทศกับสถาบันการเงินในประเทศไทยได้ โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
ก.ประเภทที่มีภาระผูกพันที่จะต้องใช้เงินตราต่างประเทศในอนาคต: นำฝากได้ไม่เกินภาระที่มีในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่ยอดคงค้างรวมต้องไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดา และ 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับนิติบุคคล
ข. ประเภทไม่มีภาระผูกพัน:ยอดคงค้างรวมทุกบัญชีไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์ สรอ.สำหรับบุคคลธรรมดา และ 5 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับนิติบุคคล
2.2 ผู้ที่มีเงินตราต่างประเทศอันมีแหล่งที่มาจากในประเทศ โดยการนำเงินบาทซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศไทย แล้วนำเงินตราต่างประเทศดังกล่าวฝากไว้กับสถาบันการเงินในประเทศไทย มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
ก.ประเภทที่มีภาระผูกพันที่จะต้องใช้เงินตราต่างประเทศในอนาคต: นำฝากได้ไม่เกินภาระที่มีในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่ยอดคงค้างรวมต้อง ไม่เกิน 500,000 ดอลลาร์ สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดา และ 50 ล้านดอลลาร์ สรอ.สำหรับนิติบุคคล
ข.ประเภทไม่มีภาระผูกพัน:ยอดคงค้างรวมทุกบัญชีไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์ สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดา และ 200,000 ดอลลาร์ สรอ.สำหรับนิติบุคคล
3. ปรับวงเงินที่บุคคลในประเทศไทยประสงค์จะโอนไปต่างประเทศในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การโอนเงินให้ญาติที่มีถิ่นที่อยู่ถาวรในต่างประเทศ หรือการบริจาคให้แก่สาธารณประโยชน์ รวมถึงการโอนเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ให้อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน คือ โอนเงินแต่ละวัตถุประสงค์ได้ไม่เกิน 1 ล้าน ดอลลาร์ สรอ.หรือเทียบเท่าต่อรายต่อปี
4.ปรับข้อกำหนดให้บุคคลในประเทศที่มีรายรับเงินตราต่างประเทศจากเดิมที่ต้องนำเงินดังกล่าวเข้าประเทศภายใน 120 วัน (หากเกิน 120 วัน แต่ไม่เกิน 360 วัน สถาบันการเงินสามารถอนุญาตแทนเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน) เป็นต้องนำเงินดังกล่าวเข้าประเทศภายใน 360 วัน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ซึ่งจะทำให้ธุรกิจไทยคล่องตัวมากขึ้นในการให้สินเชื่อทางการค้าแก่ลูกค้าในต่างประเทศ
5.ยกเลิกข้อกำหนดให้บุคคลในประเทศที่ได้รับเงินตราต่างประเทศต้องขายหรือฝากภายใน 15 วัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ได้รับเงินตราต่างประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศที่ตนได้รับแล้ว ยังเอื้อให้สถาบันการเงินสามารถกำหนดวิธีปฏิบัติให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของตนอีกด้วย ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องแจ้ง โดยประกาศกำหนดให้ลูกค้าทราบเป็นการทั่วไป ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการจากสถาบันการเงินได้ตามที่เห็นสมควร
6.ปรับระเบียบการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของผู้ลงทุนประเภทสถาบันให้สามารถลงทุนในรูปของเงินฝากกับสถาบันการเงินต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน โดยเงินฝากดังกล่าวให้นับรวมในวงเงินที่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ตามที่ระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินกำหนดไว้ เพื่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันมีความคล่องตัวมากขึ้นในการบริหารการลงทุน
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระเบียบข้างต้นให้มีผลตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2550 ยกเว้นการขยายระยะเวลาให้นำเงินตราต่างประเทศกลับเข้าประเทศตามข้อ 4 ให้มีผลในวันถัดจากวันประกาศกฎกระทรวงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่ง ธปท.จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ Hot-line ธปท. โทร.02 — 283 — 6000 หรือดูได้จาก Website ของ ธปท. ที่ www.bot.or.th ภายใต้หัวข้อ “เรื่องเด่น”
นอกจากนี้ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากมาตรการทั้ง 6 ข้อแล้ว ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังมีมติอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากค่าของเงินบาท โดยมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ไปจัดทำรายละเอียดของกองทุนให้เสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้งบฯ ในการจัดตั้งกองทุนประมาณ 5,000 ล้านบาท
ด้านนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ข้อเสนอของเอกชนที่ขอให้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีตามมาตรา 19 ทวิให้เร็วขึ้นนั้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันทีเพราะจะต้องออกเป็นกฎกระทรวงการคลัง ซึ่งจะต้องนำเข้าคณะรัฐมนตรีและเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อน แต่จะให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2550
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายระเบียบการฝากเงินและการโอนเงินตราต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท ตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นสมควรผ่อนคลายการโอนเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศให้มีความสมดุลมากขึ้น และสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยมีสาระสำคัญ คือ
1. ให้ธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและกำกับดูแลจากหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว สามารถซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้ไม่เกิน จำนวน 100 ล้านดอลลาร์ สรอ.ต่อปี ทั้งนี้ ธุรกิจที่จดทะเบียนดังกล่าวต้องเป็นธุรกิจที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นในปีบัญชีที่ผ่านมาเป็นบวก และไม่อยู่ในกลุ่มบริษัทที่เข้าข่ายถูกเพิกถอนการจดทะเบียน (Rehabilitation)
2. ให้บุคคลไทย ทั้งที่เป็นนิติบุคคล และบุคคลธรรมดามีความคล่องตัวในการฝากเงินที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศไว้กับสถาบันการเงินในประเทศมากขึ้น โดยมีรายละเอียด 2 ประการ คือ
2.1 ผู้ที่มีเงินตราต่างประเทศอันมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด อาทิ รับชำระค่าสินค้าออก หรือกู้ยืมจากต่างประเทศ สามารถฝากเงินตราต่างประเทศกับสถาบันการเงินในประเทศไทยได้ โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
ก.ประเภทที่มีภาระผูกพันที่จะต้องใช้เงินตราต่างประเทศในอนาคต: นำฝากได้ไม่เกินภาระที่มีในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่ยอดคงค้างรวมต้องไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดา และ 100 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับนิติบุคคล
ข. ประเภทไม่มีภาระผูกพัน:ยอดคงค้างรวมทุกบัญชีไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์ สรอ.สำหรับบุคคลธรรมดา และ 5 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับนิติบุคคล
2.2 ผู้ที่มีเงินตราต่างประเทศอันมีแหล่งที่มาจากในประเทศ โดยการนำเงินบาทซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศไทย แล้วนำเงินตราต่างประเทศดังกล่าวฝากไว้กับสถาบันการเงินในประเทศไทย มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
ก.ประเภทที่มีภาระผูกพันที่จะต้องใช้เงินตราต่างประเทศในอนาคต: นำฝากได้ไม่เกินภาระที่มีในช่วง 12 เดือนข้างหน้า แต่ยอดคงค้างรวมต้อง ไม่เกิน 500,000 ดอลลาร์ สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดา และ 50 ล้านดอลลาร์ สรอ.สำหรับนิติบุคคล
ข.ประเภทไม่มีภาระผูกพัน:ยอดคงค้างรวมทุกบัญชีไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์ สรอ. สำหรับบุคคลธรรมดา และ 200,000 ดอลลาร์ สรอ.สำหรับนิติบุคคล
3. ปรับวงเงินที่บุคคลในประเทศไทยประสงค์จะโอนไปต่างประเทศในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การโอนเงินให้ญาติที่มีถิ่นที่อยู่ถาวรในต่างประเทศ หรือการบริจาคให้แก่สาธารณประโยชน์ รวมถึงการโอนเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ให้อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน คือ โอนเงินแต่ละวัตถุประสงค์ได้ไม่เกิน 1 ล้าน ดอลลาร์ สรอ.หรือเทียบเท่าต่อรายต่อปี
4.ปรับข้อกำหนดให้บุคคลในประเทศที่มีรายรับเงินตราต่างประเทศจากเดิมที่ต้องนำเงินดังกล่าวเข้าประเทศภายใน 120 วัน (หากเกิน 120 วัน แต่ไม่เกิน 360 วัน สถาบันการเงินสามารถอนุญาตแทนเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน) เป็นต้องนำเงินดังกล่าวเข้าประเทศภายใน 360 วัน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ซึ่งจะทำให้ธุรกิจไทยคล่องตัวมากขึ้นในการให้สินเชื่อทางการค้าแก่ลูกค้าในต่างประเทศ
5.ยกเลิกข้อกำหนดให้บุคคลในประเทศที่ได้รับเงินตราต่างประเทศต้องขายหรือฝากภายใน 15 วัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ได้รับเงินตราต่างประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศที่ตนได้รับแล้ว ยังเอื้อให้สถาบันการเงินสามารถกำหนดวิธีปฏิบัติให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของตนอีกด้วย ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องแจ้ง โดยประกาศกำหนดให้ลูกค้าทราบเป็นการทั่วไป ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการจากสถาบันการเงินได้ตามที่เห็นสมควร
6.ปรับระเบียบการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของผู้ลงทุนประเภทสถาบันให้สามารถลงทุนในรูปของเงินฝากกับสถาบันการเงินต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน โดยเงินฝากดังกล่าวให้นับรวมในวงเงินที่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ตามที่ระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินกำหนดไว้ เพื่อให้ผู้ลงทุนประเภทสถาบันมีความคล่องตัวมากขึ้นในการบริหารการลงทุน
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระเบียบข้างต้นให้มีผลตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2550 ยกเว้นการขยายระยะเวลาให้นำเงินตราต่างประเทศกลับเข้าประเทศตามข้อ 4 ให้มีผลในวันถัดจากวันประกาศกฎกระทรวงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่ง ธปท.จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ Hot-line ธปท. โทร.02 — 283 — 6000 หรือดูได้จาก Website ของ ธปท. ที่ www.bot.or.th ภายใต้หัวข้อ “เรื่องเด่น”
นอกจากนี้ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากมาตรการทั้ง 6 ข้อแล้ว ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังมีมติอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากค่าของเงินบาท โดยมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ไปจัดทำรายละเอียดของกองทุนให้เสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้งบฯ ในการจัดตั้งกองทุนประมาณ 5,000 ล้านบาท
ด้านนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ข้อเสนอของเอกชนที่ขอให้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีตามมาตรา 19 ทวิให้เร็วขึ้นนั้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันทีเพราะจะต้องออกเป็นกฎกระทรวงการคลัง ซึ่งจะต้องนำเข้าคณะรัฐมนตรีและเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อน แต่จะให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2550
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--