นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “กระทรวงพลังงาน มติชน เชิญเที่ยวงานแฟร์ ร่วมกันดูลังคม” และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปลุกจิตสำนึกเพื่อร่วมกันดูแลสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม” เพื่อปลุกกระแสให้คนไทยตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และร่วมแสวงหาแนวทางในการช่วยกู้วิกฤติโลกร้อน
เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.2550) เวลา 18.20 น. ณ ห้อง meeting Room ฮอลล์ เอ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “กระทรวงพลังงาน มติชน เชิญเที่ยวงานแฟร์ ร่วมกันดูลังคม” และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปลุกจิตสำนึกเพื่อร่วมกันดูแลสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม” ซึ่งกระทรวงพลังงานร่วมกับเครือมติชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จัดขึ้น เพื่อปลุกกระแสให้คนไทยตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และร่วมแสวงหาแนวทางในการช่วยกู้วิกฤติโลกร้อน
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวรายงานว่า กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานที่มีนโยบายด้านการจัดหาพัฒนาพลังงานของประเทศ รวมถึงมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ตลอดจนรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รู้คุณค่า ใช้เท่าที่จำเป็น ซึ่งเป็นทางออกสำคัญทางหนึ่งของการแก้ไขวิกฤติโลกร้อน อันเป็นการร่วมสนองพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยประเทศไทยที่กำลังเผชิญวิกฤติโลกร้อน โดยทรงชี้แนะให้ร่วมมือร่วมใจกันใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าตามแนวปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อน้อมถวายเป็นราชสักการะเนื่องในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 นี้
การจัดงาน ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 เป็นนิทรรศการ กิจกรรมที่ 2 เป็นเวทีกิจกรรม ที่ให้ความรู้ความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ อาทิ การสัมมนาความรู้ด้านสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม กิจกรรมที่ 3 เป็นพื้นที่จัดจำหน่ายหนังสือต่างๆ ของเครือมติชน และกิจกรรมที่ 4 เป็นเวทีการสัมมนาให้ความรู้ สาธิต และเปิดอบรมเทคนิคการสร้างอาชีพให้เลือกเรียนหลากหลายธุรกิจ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสมาปาฐกถาเรื่อง “การปลุกจิตสำนึกเพื่อร่วมกันดูแลสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม” ที่มีความสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือในการแก้ไข ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของมนุษยชนที่ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนที่เผชิญกันอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการทำให้สภาพแวดล้อมเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ไปพร้อมๆ กับการอนุรักษ์พลังงานที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้นานเท่าที่จะทำได้
ในด้านสังคมนั้น ปัญหาการเพิ่มประชากรมีผลกระทบต่อสังคม ซึ่งส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป่าไม้ และน้ำ กล่าวคือ เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น จะมีการใช้ทรัพยากรเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสภาวะโลกร้อน ดังนั้น จึงต้องมีการกำหนดการบริหารจัดการด้านการเกษตรอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น ไปพร้อมๆ กับการเพิ่มพื้นที่สีเขียว
สำหรับเรื่องพลังงานนั้น กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการศึกษาเรื่องการนำพลังงานที่ใช้แล้ว กลับมาใช้ได้อีก โดยไม่ส่งผลต่อสภาวะโลกร้อนมากนัก ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศเพื่อศึกษาให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในวันนี้จะเน้นการสร้างจิตสำนึกของคนในบ้านเมืองให้ตระหนักถึงหน้าที่มนุษยชนที่ต้องมีส่วนร่วมในการช่วยกันดูแลแก้ไขในเรื่องสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยทั่วไป ทั้งนี้ การสร้างจิตสำนึกต้องอาศัยความร่วมมือจากสื่อต่างๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกให้มากยิ่งขึ้น และในส่วนของรัฐ ได้ดำเนินการสร้างจิตสำนึกด้วยการสอดแทรกในด้านการศึกษา และวิธีการอื่นๆ โดยให้เยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติโดยตรง นอกจากนี้ เรื่องการสร้างจิตสำนึกเรื่องการดูแลพื้นที่ป่าไม้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะการท่องเที่ยวส่งผลต่อพื้นที่ป่าไม้เสื่อมโทรมและการบำบัดน้ำเสีย อาทิ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การจัดแรลลี่ในพื้นที่ป่า เป็นต้น จึงขอให้สื่อมวลชนร่วมมือกันรณรงค์ปลุกจิตสำนึกให้เกิดขึ้นกับคนในสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ประโยชน์ได้อีก กลับมาใช้อีก
ในเรื่องสภาวะโลกร้อน ยังคงเป็นข้อถกเถียงในนานาชาติ อาทิ การประชุมในกลุ่มเอเปก เป็นต้น เนื่องจากปัญหาเรื่องสภาวะโลกร้อนมีความเกี่ยวข้องกับสภาพทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในแต่ละประเทศ ซึ่งส่งผลต่อนโยบายของแต่ละประเทศว่าเป็นอย่างไร
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่าความพยายามในวันนี้จะเป็นความร่วมมือในการปลุกจิตสำนึกของคนในสังคมให้ตระหนักถึงวิธีการบริหารจัดการ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการแก้ไขปัญหาท้องถิ่นตามลักษณะภูมิสังคมเพื่อให้เป็นประโยชน์ ตามกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.2550) เวลา 18.20 น. ณ ห้อง meeting Room ฮอลล์ เอ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “กระทรวงพลังงาน มติชน เชิญเที่ยวงานแฟร์ ร่วมกันดูลังคม” และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปลุกจิตสำนึกเพื่อร่วมกันดูแลสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม” ซึ่งกระทรวงพลังงานร่วมกับเครือมติชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จัดขึ้น เพื่อปลุกกระแสให้คนไทยตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และร่วมแสวงหาแนวทางในการช่วยกู้วิกฤติโลกร้อน
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวรายงานว่า กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานที่มีนโยบายด้านการจัดหาพัฒนาพลังงานของประเทศ รวมถึงมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ตลอดจนรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รู้คุณค่า ใช้เท่าที่จำเป็น ซึ่งเป็นทางออกสำคัญทางหนึ่งของการแก้ไขวิกฤติโลกร้อน อันเป็นการร่วมสนองพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยประเทศไทยที่กำลังเผชิญวิกฤติโลกร้อน โดยทรงชี้แนะให้ร่วมมือร่วมใจกันใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าตามแนวปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อน้อมถวายเป็นราชสักการะเนื่องในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 นี้
การจัดงาน ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 เป็นนิทรรศการ กิจกรรมที่ 2 เป็นเวทีกิจกรรม ที่ให้ความรู้ความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ อาทิ การสัมมนาความรู้ด้านสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม กิจกรรมที่ 3 เป็นพื้นที่จัดจำหน่ายหนังสือต่างๆ ของเครือมติชน และกิจกรรมที่ 4 เป็นเวทีการสัมมนาให้ความรู้ สาธิต และเปิดอบรมเทคนิคการสร้างอาชีพให้เลือกเรียนหลากหลายธุรกิจ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสมาปาฐกถาเรื่อง “การปลุกจิตสำนึกเพื่อร่วมกันดูแลสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม” ที่มีความสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือในการแก้ไข ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของมนุษยชนที่ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนที่เผชิญกันอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการทำให้สภาพแวดล้อมเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ไปพร้อมๆ กับการอนุรักษ์พลังงานที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้นานเท่าที่จะทำได้
ในด้านสังคมนั้น ปัญหาการเพิ่มประชากรมีผลกระทบต่อสังคม ซึ่งส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป่าไม้ และน้ำ กล่าวคือ เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น จะมีการใช้ทรัพยากรเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสภาวะโลกร้อน ดังนั้น จึงต้องมีการกำหนดการบริหารจัดการด้านการเกษตรอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น ไปพร้อมๆ กับการเพิ่มพื้นที่สีเขียว
สำหรับเรื่องพลังงานนั้น กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการศึกษาเรื่องการนำพลังงานที่ใช้แล้ว กลับมาใช้ได้อีก โดยไม่ส่งผลต่อสภาวะโลกร้อนมากนัก ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศเพื่อศึกษาให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในวันนี้จะเน้นการสร้างจิตสำนึกของคนในบ้านเมืองให้ตระหนักถึงหน้าที่มนุษยชนที่ต้องมีส่วนร่วมในการช่วยกันดูแลแก้ไขในเรื่องสังคม พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยทั่วไป ทั้งนี้ การสร้างจิตสำนึกต้องอาศัยความร่วมมือจากสื่อต่างๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกให้มากยิ่งขึ้น และในส่วนของรัฐ ได้ดำเนินการสร้างจิตสำนึกด้วยการสอดแทรกในด้านการศึกษา และวิธีการอื่นๆ โดยให้เยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติโดยตรง นอกจากนี้ เรื่องการสร้างจิตสำนึกเรื่องการดูแลพื้นที่ป่าไม้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะการท่องเที่ยวส่งผลต่อพื้นที่ป่าไม้เสื่อมโทรมและการบำบัดน้ำเสีย อาทิ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การจัดแรลลี่ในพื้นที่ป่า เป็นต้น จึงขอให้สื่อมวลชนร่วมมือกันรณรงค์ปลุกจิตสำนึกให้เกิดขึ้นกับคนในสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ประโยชน์ได้อีก กลับมาใช้อีก
ในเรื่องสภาวะโลกร้อน ยังคงเป็นข้อถกเถียงในนานาชาติ อาทิ การประชุมในกลุ่มเอเปก เป็นต้น เนื่องจากปัญหาเรื่องสภาวะโลกร้อนมีความเกี่ยวข้องกับสภาพทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในแต่ละประเทศ ซึ่งส่งผลต่อนโยบายของแต่ละประเทศว่าเป็นอย่างไร
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่าความพยายามในวันนี้จะเป็นความร่วมมือในการปลุกจิตสำนึกของคนในสังคมให้ตระหนักถึงวิธีการบริหารจัดการ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการแก้ไขปัญหาท้องถิ่นตามลักษณะภูมิสังคมเพื่อให้เป็นประโยชน์ ตามกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--