นายกรัฐมนตรีระบุขณะนี้รอการเสนอเรื่องการพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่มาตามลำดับขั้น เชื่อไม่น่าจะเกิดความขัดแย้งภายใน
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พลเอก สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกกล่าวเชิงเปรียบเทียบว่าในต่างประเทศหากรุ่นน้องได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงกว่าคนที่เป็นรุ่นพี่จะลาออก ว่า ยังไม่ได้พบกับพลเอก สพรั่งฯ แต่คิดว่าคงเป็นช่วงเวลาที่ทุกครั้งที่มีการพิจารณาตัวบุคคล ก็จะมีการพูดจากัน ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะเป็นลักษณะที่จะมีการลาออก เพราะบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่อยู่ในกองทัพ บางครั้งผู้ที่อาวุโสกว่าด้วยวัยวุฒิชั้นปีในการศึกษา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับการตัดสินใจเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ที่มีอายุน้อยกว่า หรือยึดถือเรื่องชั้นเรียนตั้งแต่เรียนในโรงเรียนเหล่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถือกันถึงขั้นนั้น เพราะในประเทศไทยก็มีการปกครองและบังคับบัญชา แต่ทั้งนี้หลักสำคัญจริงๆ คือ ความรู้ ความสามารถของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำที่เราสามารถจะยอมรับและปฏิบัติตามผู้นำได้ ซึ่งตนเองก็เคยมีผู้บังคับบัญชาที่อาวุโสน้อยกว่าและเคยเป็นผู้บังคับบัญชาที่เคยมีรุ่นพี่ทำงานอยู่ด้วย ดังนั้น ถ้ามีนายทหารรุ่นน้องขึ้นไปเป็นแล้ว นายทหารรุ่นพี่ควรจะลาออกนั้น ไม่ควรเป็นอย่างนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาไม่ได้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อาวุโสในที่นี้ที่เราเรียกกันว่ารุ่นพี่รุ่นน้องและรุ่นน้องก็ขึ้นมาได้เป็นธรรมดา เพราะเมื่อเป็นนายทหารมานานพอสมควรการพิจารณาก็ต้องดูในเรื่องอื่นๆ และอย่างที่ได้เรียนคือสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหาเหมือนกับในประเทศอื่นๆ ถ้าพูดถึงในประเทศอื่น มีตัวอย่างมากมายที่ผู้ที่มีวัยวุฒิน้อย ๆ แต่ผ่านขั้นตอนต่างๆ รวมถึงการศึกษา เช่น ประเทศสิงคโปร์ที่ผู้นำเหล่าทัพในแต่ละกองทัพของสิงคโปร์จะมีอายุไม่เกิน 45 ปี และจะมีรุ่นพี่ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มาก
ต่อข้อถามว่า ในภาวะที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ได้ให้นโยบายกับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้ให้นโยบาย เพราะในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีคงรอการเสนอตามลำดับขั้น ซึ่งเชื่อว่าการโยกย้ายครั้งนี้ไม่น่าจะเกิดความขัดแย้งภายใน
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พลเอก สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกกล่าวเชิงเปรียบเทียบว่าในต่างประเทศหากรุ่นน้องได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงกว่าคนที่เป็นรุ่นพี่จะลาออก ว่า ยังไม่ได้พบกับพลเอก สพรั่งฯ แต่คิดว่าคงเป็นช่วงเวลาที่ทุกครั้งที่มีการพิจารณาตัวบุคคล ก็จะมีการพูดจากัน ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะเป็นลักษณะที่จะมีการลาออก เพราะบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่อยู่ในกองทัพ บางครั้งผู้ที่อาวุโสกว่าด้วยวัยวุฒิชั้นปีในการศึกษา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับการตัดสินใจเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ที่มีอายุน้อยกว่า หรือยึดถือเรื่องชั้นเรียนตั้งแต่เรียนในโรงเรียนเหล่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถือกันถึงขั้นนั้น เพราะในประเทศไทยก็มีการปกครองและบังคับบัญชา แต่ทั้งนี้หลักสำคัญจริงๆ คือ ความรู้ ความสามารถของผู้ที่จะมาเป็นผู้นำที่เราสามารถจะยอมรับและปฏิบัติตามผู้นำได้ ซึ่งตนเองก็เคยมีผู้บังคับบัญชาที่อาวุโสน้อยกว่าและเคยเป็นผู้บังคับบัญชาที่เคยมีรุ่นพี่ทำงานอยู่ด้วย ดังนั้น ถ้ามีนายทหารรุ่นน้องขึ้นไปเป็นแล้ว นายทหารรุ่นพี่ควรจะลาออกนั้น ไม่ควรเป็นอย่างนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาไม่ได้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อาวุโสในที่นี้ที่เราเรียกกันว่ารุ่นพี่รุ่นน้องและรุ่นน้องก็ขึ้นมาได้เป็นธรรมดา เพราะเมื่อเป็นนายทหารมานานพอสมควรการพิจารณาก็ต้องดูในเรื่องอื่นๆ และอย่างที่ได้เรียนคือสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหาเหมือนกับในประเทศอื่นๆ ถ้าพูดถึงในประเทศอื่น มีตัวอย่างมากมายที่ผู้ที่มีวัยวุฒิน้อย ๆ แต่ผ่านขั้นตอนต่างๆ รวมถึงการศึกษา เช่น ประเทศสิงคโปร์ที่ผู้นำเหล่าทัพในแต่ละกองทัพของสิงคโปร์จะมีอายุไม่เกิน 45 ปี และจะมีรุ่นพี่ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มาก
ต่อข้อถามว่า ในภาวะที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ได้ให้นโยบายกับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้ให้นโยบาย เพราะในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีคงรอการเสนอตามลำดับขั้น ซึ่งเชื่อว่าการโยกย้ายครั้งนี้ไม่น่าจะเกิดความขัดแย้งภายใน
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--