วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ภายหลังพิธีรดน้ำขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญ กำลังใจ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2550 ว่า ในวันนี้ก็ถือว่าเป็นวันมหามงคล เป็นวันที่ถือว่าเป็นโอกาสที่คนไทยที่ยังยึดถือในประเพณีอันดีงามของคนไทยได้มีโอกาสที่จะรดน้ำดำหัวผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ ผู้ที่เรานับถือ นั่นก็เป็นประเพณีอันดีงาม ซึ่งได้เรียนกับผู้ที่อยู่ในที่ประชุมเมื่อสักครู่นี้ว่า ในรูปแบบคงเป็นในเรื่องของประเพณีที่เราเห็น แต่สิ่งที่เป็นส่วนที่สำคัญกว่านั้น ก็คือส่วนที่เป็นนามธรรม ส่วนที่แสดงออกถึงความเคารพนับถือต่อผู้ที่มีอาวุโสกว่า ผู้ที่น่านับถือ จิตใจที่แสดงออกในลักษณะที่มีความอ่อนโยน จิตใจที่พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นค่านิยมในสังคมของเราที่ควรจะยึดถือและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชาติบ้านเมือง อยู่คู่กับคนไทยของเราต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คงจะขอเรียนได้ว่า ในการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองนั้นก็จำเป็นที่จะต้องหาทางที่จะดำเนินการในส่วนที่จะเป็นทางที่ส่วนใหญ่สามารถจะยอมรับได้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นการหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม ที่มีจุดสมดุลที่พอเพียงก็เป็นส่วนที่สำคัญ อย่างที่ได้เรียนให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบมานานแล้วว่า สถานการณ์ในห้วงเปลี่ยนผ่านนี้ เป็นห้วงเวลาที่เราจำเป็นจะต้องให้ความร่วมมือกัน เราจำเป็นที่จะต้องช่วยกันแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ สิ่งที่ได้รับมาตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นส่วนที่เป็นกำลังใจอันสำคัญต่อคณะรัฐบาล และคิดว่าในห้วงระยะเวลาอีกไม่มากนักข้างหน้านี้ เราคงอยากจะเห็นวิถีทางในการแก้ไขปัญหาตามระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง ที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นกฎกติกาในการแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองของเราต่อไป นั่นเป็นส่วนที่อยากจะให้ทุกท่านได้มีความร่วมมือกัน มีความสามัคคีกันที่จะนำพาชาติบ้านเมืองของเราไปสู่แสงสว่าง ไปสู่สิ่งที่เรามุ่งหวัง คงไม่ได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวที่จะต้องทำในสิ่งเหล่านี้ อยู่ที่พี่น้องประชาชนไทยทุกคนต่างก็มีส่วนร่วม ต่างก็มีส่วนที่จะช่วยกันนำพาชาติบ้านเมืองของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการ คงไม่ได้เป็นประโยชน์ของคนส่วนน้อย แต่จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่เป็นส่วนที่เราจะต้องตระหนักและคงจะต้องร่วมมือกันในการที่จะฟันฝ่าไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการให้ได้ ก็เป็นสิ่งที่อยากจะเรียนฝากกับพี่น้องประชาชนในห้วงเวลาปีใหม่ไทยๆ ที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ และขอถือโอกาสนี้ อันเป็นโอกาสอันเป็นมงคลขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านเคารพนับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขออัญเชิญพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้พี่น้องประชาชนไทยทุกคนจงประสบแต่สิ่งที่ดีงาม คิดหวังในสิ่งที่ถูกที่ควร ขอให้สำเร็จผลตามที่ทุกท่านหวังไว้ทุกประการ ขอบคุณ สวัสดีปีใหม่ครับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสนใจกับข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรแค่ไหน ที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีทบทวนบทบาทของตนเอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองสนใจทุกถ้อยคำ เพราะฟังทุกคน ไม่ได้ฟังเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใด แม้จะเป็นเสียงจากพี่น้องเกษตรกรที่บ่นมา ก็พร้อมที่จะแก้ไข แต่ว่าต้องใช้เวลา นิดๆ หน่อยๆ เราพยายามที่จะทำ และเรียนตรงนี้ได้ว่าแนวทางแก้ไขของรัฐบาลนั้น เราคงมุ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ อยู่บนแนวทางที่สามารถจะยอมรับได้อย่างที่เรียนไปแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเราจะต้องยึดมั่นในเรื่องของกฎกติกาให้เป็นไปตามกฎหมาย สิ่งใดที่ยังไม่ได้มีกำหนดไว้ เราจะต้องหาทางแก้ไข ในฐานะรัฐบาล สิ่งใดที่รัฐบาลจะหาทางแก้ไขได้ มีการแก้ไขกฎหมาย มีการหาแนวทางอื่น ซึ่งในบางครั้งกฎหมายไม่ได้กฎหมายไม่ได้เปิดช่องไว้เลย ยกตัวอย่างกรณีของกฎหมายพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูฯ ไม่เปิดช่องให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการเข้าไปแก้ไขเลย และจำเป็นที่จะต้องหาทางแก้ไข ซึ่งเท่าที่ได้ติดตามก็คงจะต้องใช้งบกลางเพื่อไปดำเนินการในการจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เราไม่สามารถจะใช้เงินของกองทุนฟื้นฟูได้ ตามปกติแล้วในการเลือกตั้งคณะกรรมการจะต้องใช้เงินของกองทุนฟื้นฟู ซึ่งก็มีจัดสรรไว้แล้ว แต่กฎหมายไม่ให้อำนาจบุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นกรรมการ หรือว่าเป็นกรรมการบริหาร ตรงจุดนี้เองก็ทำให้เกิดความล่าช้า แต่เราก็ไม่ได้ทอดทิ้ง เราคงมุ่งมั่นที่จะหาทางแก้ไข แต่ยืนอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย ยืนอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เป็นที่ยอมรับได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลจะต้องเป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมืองโดยตลอด ซึ่งการที่จะทำงานนั้น คงไม่ได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว คงเป็นหน้าที่ของพี่น้องคนไทยทุกคนที่จะช่วยกันนำพาชาติบ้านเมืองของเราไป รัฐบาลก็มีหน้าที่ที่จะรับฟังข้อคิดเห็นต่างๆ หาทางแก้ไขปัญหาในทางที่ถูกต้องตามหลักของกฎหมาย เมื่อเราร่วมมือกันแล้ว โอกาสที่จะแก้ไขปัญหาก็มีทางที่จะเป็นไปได้ นั่นก็คือการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถ้าหากว่าเราไม่ใช้วิธีทางการเมือง ไปใช้วิธีการอื่น คือใช้อำนาจ ก็คงไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรีให้สถานะของรัฐบาลดีขึ้น เพื่อให้ช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่นี้สามารถทำอะไรที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอหารือในประเด็นนี้ ก็คงเป็นเรื่องที่ตนเองรับฟังมา และจะขอหารือกับในส่วนของคณะรัฐมนตรีดูว่ามีส่วนที่จำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง และได้พูดกับทางคณะรัฐมนตรีบางส่วนไปแล้ว ในช่วงที่มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น และมีคณะรัฐมนตรีบางส่วนได้ไปกับตนเอง ได้หารือกันว่าในส่วนนี้จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงการทำงานกันอย่างไรบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับทุกท่านได้มีความห่วงใย มีความกังวล แต่ก็ขอเรียนว่าการทำงานของคณะรัฐมนตรีนั้นคงไม่ได้อยู่เฉยๆ เรามีงานที่ทำ เรามีงานที่จะต้องแก้ไขปัญหา แต่ว่าผลงานอาจจะไม่ได้ออกไปสู่สายตาของพี่น้องประชาชนมากนัก ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ได้มีผลงาน แต่ถ้าหากว่าท่านมองด้วยความเป็นธรรม มองด้วยสายตาของคนที่เห็นว่าผู้ที่เข้ามานั้น ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไร มีความตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในช่วงเวลาที่เกิดช่องว่างขึ้นมาในช่วงนี้ ก็คงเป็นเรื่องที่อยากจะให้ทุกท่านได้ให้ความเป็นธรรม มองด้วยสายตาที่เห็นว่าทุกคนที่เข้ามาทำงานนั้น ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไร ทำงานด้วยความตั้งใจ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง ซึ่งได้เรียนกับทุกๆ คนอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า สิ่งที่ตนเองยึดถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดก็คือความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ถ้ามีความซื่อสัตย์ ซื่อตรงแล้ว ท่านทำงานไป แน่นอนว่าอาจจะมีปัญหา มีอุปสรรค มีสิ่งต่างๆ เข้ามาขัดขวางบ้าง แต่ว่าด้วยเจตนา ด้วยความตั้งใจ และความซื่อสัตย์ ซื่อตรงแล้ว เราก็อยู่ในฐานะที่จะยอมรับการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละท่านเหล่านั้นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวลือเรื่องสัญญาลับ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้เรียนตั้งแต่ต้นแล้วว่า ยินดีที่จะรับฟังในทุกๆ เรื่อง อย่างที่เรียนเมื่อสักครู่ว่าการแก้ไขปัญหาทางการเมืองนั้นจำเป็นที่จะต้องรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่อยากจะพูดคุย จะรับฟังทั้งนั้น เพื่อที่จะหาทางแก้ไขปัญหากันโดยสันติวิธี นั่นเป็นสิ่งที่มีเจตนาอยู่ในส่วนนั้น และไม่อยากให้มีปัญหาเกิดมา เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีการติดต่อ มีการโทรศัพท์พูดกัน ซึ่งคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นคนโทรศัพท์มาพูดคุยกับตนเองทั้ง 2 ครั้ง คงพูดคุยกันในลักษณะที่จะทำให้เกิดความสงบขึ้นมากับบ้านเมืองได้อย่างไร อย่างที่ได้เคยเรียนว่าได้พูดกับคุณทักษิณฯ ว่าขอให้กลับมาหลังจากที่มีการเลือกตั้งแล้ว ก็เป็นสิ่งเหล่านั้นที่พูดกัน ไม่ได้มีอะไรที่แอบแฝงไปมากกว่านั้น อย่างที่ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ต่อหน้าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่า ตนเองได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ 4 ครั้งแล้ว ในช่วงเวลา 6 เดือน ซึ่งก็ประทับอยู่ในใจอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้พูดไปก็คงเป็นเรื่องของความเป็นจริงทั้งหมด ซึ่งไม่ได้มีอะไรที่แอบแฝงอยู่เบี้องหลัง มีเจตนาเพียงอย่างเดียวคืออยากที่จะให้แก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปโดยสันติวิธี ไม่มีการกระทบกระทั่ง ไม่มีการปะทะกัน ของคนไทยด้วยกันเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ฝากฝังหรือต่อรองอะไรบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้ฝากฝัง ไม่มีต่อรอง เพียงแต่พูดว่าสิ่งที่เราจะทำได้ก็ยืนอยู่บนหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ก็คงไม่สามารถจะทำได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า 6 เดือนที่เหลืออยู่ ท่านนายกรัฐมนตรียืนยันได้หรือไม่ว่าการถอดใจคงไม่มี นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ถ้าหากว่าไม่มีปัญหา ไม่มีอุปสรรคที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากที่มากระทบกับการทำงาน ตนเองก็ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานต่อไป และคงไม่สามารถที่จะบอกถึงอนาคตได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่นี้จะไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรค ถ้ามีอุปสรรคขึ้นมา อย่างที่พลเอก บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวไว้แล้วว่าการแก้ไขปัญหาของนั้นจะใช้วิถีทางการเมือง จะไม่ใช้วิถีทางอื่น ไม่มีการที่จะดำเนินการอื่นใดที่จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากับชาติบ้านเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า วิถีทางการเมืองนี้ ใช่การลาออกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราจะหาทางแก้ไขโดยสันติวิธี
ผู้สื่อข่าวถามว่า อุปสรรคที่ทำให้ต้องตัดสินใจคืออะไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมือง เมื่อแก้ไขไม่ได้ เมื่อมีการปะทะกัน เมื่อมีการใช้กำลังกัน นั่นก็คือสิ่งที่ได้พูดไว้ และคงรักษาในสิ่งนี้ไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ตนเองไม่อยากให้คนไทยเกิดการปะทะกันถึงเลือดถึงเนื้อ นั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่อยากเห็นเลยในชีวิต และได้พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น จึงพยายามที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมือง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่สามารถที่จะดำเนินการไปได้ ตนเองอยากจะให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้ร่วมมือกัน ได้ช่วยกันแก้ไข ไม่ให้เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่ใช่แรงกดดันจาก คมช. ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คมช. ไม่ได้มีแรงกดดันอะไรเลย ก็พูดกันในทุกๆ เรื่องตลอดมา ไม่ได้มีแรงกดดันอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะทำอย่างไรกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เพิ่มดีกรีขึ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็คงจะหาทางพูดคุยกัน หาทางทำความเข้าใจ สิ่งใดที่รัฐบาลจะสามารถนำมาปฏิบัติตามคำเรียกร้อง ตามสิ่งที่ส่วนต่างๆ ได้มีปัญหาอะไร เราก็พยายามแก้ไขในสิ่งเหล่านั้น นั่นคือแนวทางที่ยึดถือมา และคิดว่าเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถ้าหากว่าเราเปิดการพูดคุย เราไม่เปิดการเจรจา ต่างคนต่างก็ไป โดยที่ไม่ได้ฟังกันเลย มันก็คงไม่มีทางที่จะมาหาจุดซึ่งเป็นจุดร่วม เป็นจุดซึ่งสามารถหาทางแก้ไขปัญหากันได้
ผู้สื่อข่าว ถามว่า การปฏิวัติซ้อนจะเกิดขึ้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทาง คมช. ได้พูดคุยกับตนเองแล้ว เมื่อก่อนหน้าที่จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนั่นก็คงเป็นพียงข่าวลือ เป็นเพียงข่าวที่อาจจะได้มีผู้ที่พูดกันไป แต่ว่าในส่วนของ คมช. เองแล้ว ได้พยายามที่จะให้เหตุการณ์ในช่วงนี้คลี่คลายไปโดยไม่เกิดความรุนแรงเกิดขึ้น นั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนมีความปรารถนาไม่อยากให้เกิดอะไรต่างๆ ขึ้นมา
ผู้สื่อข่าว ถามว่า มีการคุยกับ คมช. หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็คงมีในวาระที่เราเห็นว่าควรจะหารือกัน ก็คงมีหลายๆ เรื่องซึ่งคงจะต้องหารือกัน บางเรื่องได้มีการพูดคุยไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งก็คงจะต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในห้วงระยะเวลาประมาณ 6 เดือนนี้ที่จะดำเนินการตามที่ได้มีการหารือกันไปแล้ว เพราะว่า รัฐบาลมีงานหลายๆ เรื่อง และคงจะมองภาพต่างๆ ไม่ทั่วถึงพอเพียง ก็ต้องการทั้งข้อคิดเห็น ต้องการทั้งคำแนะนำจากทุกๆ ส่วน เพื่อที่จะทำให้การทำงานนั้นเกิดความสมบูรณ์ให้มากที่สุด
ผู้สื่อข่าว ถามว่า อนาคตจะมีการปะทะกัน ทำให้ประชาชนเสียเลือดเนื้อหรือไม่ เหตุการณ์จะไปถึงขั้นนั้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แสดงความหวังว่าพวกเราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาโดยรอบคอบ และโดยสันติวิธี แต่ว่าในฐานะที่เป็นทหาร ทหารก็มองสถานการณ์ในลักษณะที่เป็นส่วนที่ร้ายไว้ก่อนเสมอ และหาทางที่จะไม่ให้ไปถึงจุดนั้น นั่นคือวิธีคิด ซึ่งตนเองได้เคยศึกษามา ได้เคยดำเนินการมา ฉะนั้น เราคิดว่าสิ่งที่ร้ายที่สุดเป็นอย่างไร และไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น นั่นก็คือสิ่งที่อยากจะให้พี่น้องประชาชนได้มองว่า เรามีทางเลือกที่ดีกว่านั้น มีทางเลือกที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหา และไปบรรลุเป้าหมายตามที่เราต้องการได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีการใช้กำลัง
ผู้สื่อข่าว ถามว่า ในช่วงการบริหารบ้านเมืองที่ผ่านมามีเรื่องใดบ้างที่รัฐบาลเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับ คมช. นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วย ถ้าจะถามว่ามีความเห็นแตกต่างหรือไม่ ก็มีบ้างในบางเรื่อง ในเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเรื่องการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ได้พูดคุยกันแล้วด้วยเหตุด้วยผล ทาง คมช. ก็เห็นชอบตามนั้น ก็ได้ข้อยุติว่ายังไม่ประกาศ ซึ่งทุกคนก็เห็นอยู่แล้วว่าเราได้ดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายอย่างจริงจัง เพราะในพระราชกำหนดนั้นได้ระบุไว้ว่า นายกรัฐมนตรีสามารถประกาศได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ถ้ายังไม่เกิดเหตุการณ์ ก็ยังไม่สามารถประกาศได้
ผู้สื่อข่าว ถามว่า 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องของ คมช. ในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาได้ ตอนนี้มีกระแสข่าวว่าทาง คมช. จะขอเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประธาน คมช. บอกแล้วว่าไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยน คุยกันนานแล้ว แต่ทั้ง 4 ข้อที่ว่านั้น มีบางข้อ อย่างเช่นข้อที่ 3 ในเรื่องการแทรกแซงองค์กรอิสระ ในรัฐบาลนี้ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระใดๆ เลย การปฏิบัติที่ผ่านมาเป็นเรื่องของรัฐบาลที่แล้วที่ไปแทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งไม่สามารถไปทำอะไรได้ กกต. ซึ่งถูกแทรกแซงได้ถูกศาลลงโทษไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ถ้าท่านไปดูให้ดีก็จะเห็นว่า บางข้อเป็นเรื่องที่ได้สมบูรณ์ไปแล้ว รัฐบาลนี้ไม่สามารถที่จะไปทำอะไรได้อีก ข้อสุดท้ายคือข้อที่ 4 ก็มีข่าวออกมาในขณะนี้ว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้สั่งไม่ฟ้องกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องว่าคุณทักษิณฯ ได้กระทำการอันหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งในรูปคดีก็คงเป็นเรื่องของทางกฎหมาย ตนเองก็ไม่ได้ไปทำอะไรที่จะทำให้กฎหมายนั้นเกิดความไม่ศักดิ์สิทธิ์ เราก็ดูกันว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างไร ในข้อแรก ในเรื่องที่จะดำเนินการต่อการกระทำอันมิชอบในเชิงทุจริตทั้งหลาย มีองค์กรอิสระที่ได้ดำเนินการอยู่ ซึ่งอาจจะมองว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจ รัฐบาลได้ให้ความสนใจมาโดยตลอด เราพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในทุกๆ เรื่อง แต่ในเรื่องของมติคณะรัฐมนตรีนั้น โดยได้เรียนชี้แจงเหตุผลต่อ คตส. ทั้งหมดแล้วว่า ถ้ามีความสงค์ในเรื่องใด ทำจดหมายหรือทำเรื่องมา ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถที่จะระบุได้ ต่อกรณีของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง เป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลได้สั่งการไปแล้วว่าให้ความร่วมมือในการที่จะให้ข้อมูลต่อ คตส. สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการต่อไปคือแก้ไขกฎหมาย ปปช. ในมาตราที่ 66 และ 67 ที่ได้ให้อำนาจ ป.ป.ช. และ คตส. ซึ่งใช้กฎหมาย ป.ป.ช. เช่นกัน ดำเนินการได้โดยที่ไม่ต้องมีผู้ที่ฟ้องร้องกล่าวโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่มีความสำคัญ ขณะนี้กฎหมายได้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปแล้วในการแก้ไข ก็คงรอที่จะเสร็จขั้นตอนก็คือมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็จะถือว่ามีผลใช้บังคับโดยสมบูรณ์
ผู้สื่อข่าว ถามเกี่ยวกับการให้เหตุผลในข้อ 4 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปตามกฎหมาย ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องเหตุผล เหตุผลข้อเดียวก็คงพอ
ผู้สื่อข่าว ถามว่า ถ้าอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ติดต่อมา คิดว่าจะใช้วิธีทางใดที่จะเจรจาที่จะให้ลดสถานการณ์ภายในให้คลี่คลายลง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะพยายามและรับไว้ เพราะว่าหลายๆ อย่างคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณทักษิณฯ เพียงคนเดียว คงอยู่ที่บุคคลอีกหลายๆ ส่วนที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็จะพยายาม ถ้าหากคุณทักษิณฯ โทรศัพท์มาหาก็จะได้พูดกันถึงเรื่องเหล่านี้ว่า ขอให้ร่วมมือกันในการที่จะแก้ไขปัญหา
ผู้สื่อข่าว ถามว่า กลุ่มพันธมิตรปฏิเสธแนวทางการสมานฉันท์ จะเป็นแรงกดดดันที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เดียวกันในอดีตหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำเปรียบเทียบคำว่า “พระ” กับ “โจร” อยู่ด้วยกันไม่ได้ ผมและคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในหลักพุทธศาสนา ในหลักพุทธศาสนานั้น พระจะเป็นผู้ที่อภัยให้กับโจร พระพยายามที่จะพูดให้โจรกลับใจ พระพุทธเจ้าสอนองค์คุลีมาร ให้องค์คุลีมารกลับใจ และเป็นผู้ที่ผ่านที่ได้ไปนิพพานด้วย นั่นเป็นสิ่งที่สอนเราอย่างดีว่าในศาสนาพุทธนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นคนที่มีเมตตา เป็นคนที่มีความกรุณา ถ้าเราย้อนกลับไปดูในส่วนของพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั่นคือสิ่งที่คนที่นับถือศาสนาพุทธ ควรจะนำไปใช้ในการดำรงชีวิต ในการแก้ไขปัญหาของตนเอง
ผู้สื่อข่าว ถามเกี่ยวกับความมั่นใจที่นายกรัฐมนตรีจะอยู่ครบเทอม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองตั้งใจและทุ่มเทที่จะทำงานให้สำเร็จ
ผู้สื่อข่าว ถามว่า แสดงว่าที่ผ่านมาไม่ทุ่มเทใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มี เพราะตนเองทำงานทุกครั้งไม่เคยไม่ทุ่มเทเลย ในชีวิตไม่มีอะไรที่ไม่ทุ่มเท และได้อธิบายว่าวิธีคิดอย่างทหารคือคิดในสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ผู้สื่อข่าว ถามว่า สถานการณ์ในตอนนี้กับปัญหาสุขภาพของนายกรัฐมนตรี มีวิธีการบริหารสถานการณ์และอารมณ์ของตนเองอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองไม่มีปัญหาสุขภาพ ในขณะนี้ในเรื่องของตนเองไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่สิ่งที่ห่วงคือความรู้สึกของพี่น้องประชาชน ความกังวล ถ้าหากว่าเราช่วยกันตรงส่วนนี้ เรามองว่าเรามีโอกาสที่ดีกว่า เรามีโอกาสที่จะช่วยกัน มองในด้านที่เป็นบวก มองในด้านที่เป็นเชิงสร้างสรรค์ เราก็จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ แต่ถ้าเรามองในแง่ที่เป็นด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านเศรษฐกิจ ถ้าเรามองว่าเราแย่ ก็จะแย่ไปด้วย เรื่องใจเป็นเรื่องสำคัญที่จะมุ่งมั่น ซึ่งจะแก้ไขปัญได้แน่อน
ผู้สื่อข่าว ถามว่ากลุ่มการเมืองต่างๆ เป็นเงื่อนไขในการดำเนินการ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ได้ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจับตาดูอยู่ ถ้าหากว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมาย เราก็จะดำเนินการตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าว ถามว่า มีข่าวว่าพลเอกเปรมฯ ไม่พอใจบรรดาลูกหลานไม่ช่วยเหลือหรือว่าดูแลตรงนี้เลย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้พบกับท่านหลายครั้ง คงไม่มีปัญหาอะไร และเรียนท่านว่าเราจะยืนอยู่บนหลักการของการใช้กฎหมาย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คงจะขอเรียนได้ว่า ในการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองนั้นก็จำเป็นที่จะต้องหาทางที่จะดำเนินการในส่วนที่จะเป็นทางที่ส่วนใหญ่สามารถจะยอมรับได้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นการหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม ที่มีจุดสมดุลที่พอเพียงก็เป็นส่วนที่สำคัญ อย่างที่ได้เรียนให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบมานานแล้วว่า สถานการณ์ในห้วงเปลี่ยนผ่านนี้ เป็นห้วงเวลาที่เราจำเป็นจะต้องให้ความร่วมมือกัน เราจำเป็นที่จะต้องช่วยกันแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ สิ่งที่ได้รับมาตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นส่วนที่เป็นกำลังใจอันสำคัญต่อคณะรัฐบาล และคิดว่าในห้วงระยะเวลาอีกไม่มากนักข้างหน้านี้ เราคงอยากจะเห็นวิถีทางในการแก้ไขปัญหาตามระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง ที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นกฎกติกาในการแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองของเราต่อไป นั่นเป็นส่วนที่อยากจะให้ทุกท่านได้มีความร่วมมือกัน มีความสามัคคีกันที่จะนำพาชาติบ้านเมืองของเราไปสู่แสงสว่าง ไปสู่สิ่งที่เรามุ่งหวัง คงไม่ได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวที่จะต้องทำในสิ่งเหล่านี้ อยู่ที่พี่น้องประชาชนไทยทุกคนต่างก็มีส่วนร่วม ต่างก็มีส่วนที่จะช่วยกันนำพาชาติบ้านเมืองของเราไปสู่สิ่งที่เราต้องการ คงไม่ได้เป็นประโยชน์ของคนส่วนน้อย แต่จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่เป็นส่วนที่เราจะต้องตระหนักและคงจะต้องร่วมมือกันในการที่จะฟันฝ่าไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการให้ได้ ก็เป็นสิ่งที่อยากจะเรียนฝากกับพี่น้องประชาชนในห้วงเวลาปีใหม่ไทยๆ ที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ และขอถือโอกาสนี้ อันเป็นโอกาสอันเป็นมงคลขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านเคารพนับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขออัญเชิญพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้พี่น้องประชาชนไทยทุกคนจงประสบแต่สิ่งที่ดีงาม คิดหวังในสิ่งที่ถูกที่ควร ขอให้สำเร็จผลตามที่ทุกท่านหวังไว้ทุกประการ ขอบคุณ สวัสดีปีใหม่ครับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสนใจกับข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรแค่ไหน ที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีทบทวนบทบาทของตนเอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองสนใจทุกถ้อยคำ เพราะฟังทุกคน ไม่ได้ฟังเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใด แม้จะเป็นเสียงจากพี่น้องเกษตรกรที่บ่นมา ก็พร้อมที่จะแก้ไข แต่ว่าต้องใช้เวลา นิดๆ หน่อยๆ เราพยายามที่จะทำ และเรียนตรงนี้ได้ว่าแนวทางแก้ไขของรัฐบาลนั้น เราคงมุ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ อยู่บนแนวทางที่สามารถจะยอมรับได้อย่างที่เรียนไปแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเราจะต้องยึดมั่นในเรื่องของกฎกติกาให้เป็นไปตามกฎหมาย สิ่งใดที่ยังไม่ได้มีกำหนดไว้ เราจะต้องหาทางแก้ไข ในฐานะรัฐบาล สิ่งใดที่รัฐบาลจะหาทางแก้ไขได้ มีการแก้ไขกฎหมาย มีการหาแนวทางอื่น ซึ่งในบางครั้งกฎหมายไม่ได้กฎหมายไม่ได้เปิดช่องไว้เลย ยกตัวอย่างกรณีของกฎหมายพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูฯ ไม่เปิดช่องให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการเข้าไปแก้ไขเลย และจำเป็นที่จะต้องหาทางแก้ไข ซึ่งเท่าที่ได้ติดตามก็คงจะต้องใช้งบกลางเพื่อไปดำเนินการในการจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เราไม่สามารถจะใช้เงินของกองทุนฟื้นฟูได้ ตามปกติแล้วในการเลือกตั้งคณะกรรมการจะต้องใช้เงินของกองทุนฟื้นฟู ซึ่งก็มีจัดสรรไว้แล้ว แต่กฎหมายไม่ให้อำนาจบุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นกรรมการ หรือว่าเป็นกรรมการบริหาร ตรงจุดนี้เองก็ทำให้เกิดความล่าช้า แต่เราก็ไม่ได้ทอดทิ้ง เราคงมุ่งมั่นที่จะหาทางแก้ไข แต่ยืนอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย ยืนอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เป็นที่ยอมรับได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลจะต้องเป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมืองโดยตลอด ซึ่งการที่จะทำงานนั้น คงไม่ได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว คงเป็นหน้าที่ของพี่น้องคนไทยทุกคนที่จะช่วยกันนำพาชาติบ้านเมืองของเราไป รัฐบาลก็มีหน้าที่ที่จะรับฟังข้อคิดเห็นต่างๆ หาทางแก้ไขปัญหาในทางที่ถูกต้องตามหลักของกฎหมาย เมื่อเราร่วมมือกันแล้ว โอกาสที่จะแก้ไขปัญหาก็มีทางที่จะเป็นไปได้ นั่นก็คือการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถ้าหากว่าเราไม่ใช้วิธีทางการเมือง ไปใช้วิธีการอื่น คือใช้อำนาจ ก็คงไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรีให้สถานะของรัฐบาลดีขึ้น เพื่อให้ช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่นี้สามารถทำอะไรที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอหารือในประเด็นนี้ ก็คงเป็นเรื่องที่ตนเองรับฟังมา และจะขอหารือกับในส่วนของคณะรัฐมนตรีดูว่ามีส่วนที่จำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง และได้พูดกับทางคณะรัฐมนตรีบางส่วนไปแล้ว ในช่วงที่มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น และมีคณะรัฐมนตรีบางส่วนได้ไปกับตนเอง ได้หารือกันว่าในส่วนนี้จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงการทำงานกันอย่างไรบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับทุกท่านได้มีความห่วงใย มีความกังวล แต่ก็ขอเรียนว่าการทำงานของคณะรัฐมนตรีนั้นคงไม่ได้อยู่เฉยๆ เรามีงานที่ทำ เรามีงานที่จะต้องแก้ไขปัญหา แต่ว่าผลงานอาจจะไม่ได้ออกไปสู่สายตาของพี่น้องประชาชนมากนัก ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ได้มีผลงาน แต่ถ้าหากว่าท่านมองด้วยความเป็นธรรม มองด้วยสายตาของคนที่เห็นว่าผู้ที่เข้ามานั้น ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไร มีความตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในช่วงเวลาที่เกิดช่องว่างขึ้นมาในช่วงนี้ ก็คงเป็นเรื่องที่อยากจะให้ทุกท่านได้ให้ความเป็นธรรม มองด้วยสายตาที่เห็นว่าทุกคนที่เข้ามาทำงานนั้น ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไร ทำงานด้วยความตั้งใจ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง ซึ่งได้เรียนกับทุกๆ คนอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า สิ่งที่ตนเองยึดถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดก็คือความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ถ้ามีความซื่อสัตย์ ซื่อตรงแล้ว ท่านทำงานไป แน่นอนว่าอาจจะมีปัญหา มีอุปสรรค มีสิ่งต่างๆ เข้ามาขัดขวางบ้าง แต่ว่าด้วยเจตนา ด้วยความตั้งใจ และความซื่อสัตย์ ซื่อตรงแล้ว เราก็อยู่ในฐานะที่จะยอมรับการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละท่านเหล่านั้นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวลือเรื่องสัญญาลับ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้เรียนตั้งแต่ต้นแล้วว่า ยินดีที่จะรับฟังในทุกๆ เรื่อง อย่างที่เรียนเมื่อสักครู่ว่าการแก้ไขปัญหาทางการเมืองนั้นจำเป็นที่จะต้องรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่อยากจะพูดคุย จะรับฟังทั้งนั้น เพื่อที่จะหาทางแก้ไขปัญหากันโดยสันติวิธี นั่นเป็นสิ่งที่มีเจตนาอยู่ในส่วนนั้น และไม่อยากให้มีปัญหาเกิดมา เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีการติดต่อ มีการโทรศัพท์พูดกัน ซึ่งคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นคนโทรศัพท์มาพูดคุยกับตนเองทั้ง 2 ครั้ง คงพูดคุยกันในลักษณะที่จะทำให้เกิดความสงบขึ้นมากับบ้านเมืองได้อย่างไร อย่างที่ได้เคยเรียนว่าได้พูดกับคุณทักษิณฯ ว่าขอให้กลับมาหลังจากที่มีการเลือกตั้งแล้ว ก็เป็นสิ่งเหล่านั้นที่พูดกัน ไม่ได้มีอะไรที่แอบแฝงไปมากกว่านั้น อย่างที่ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ต่อหน้าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่า ตนเองได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ 4 ครั้งแล้ว ในช่วงเวลา 6 เดือน ซึ่งก็ประทับอยู่ในใจอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้พูดไปก็คงเป็นเรื่องของความเป็นจริงทั้งหมด ซึ่งไม่ได้มีอะไรที่แอบแฝงอยู่เบี้องหลัง มีเจตนาเพียงอย่างเดียวคืออยากที่จะให้แก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปโดยสันติวิธี ไม่มีการกระทบกระทั่ง ไม่มีการปะทะกัน ของคนไทยด้วยกันเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ฝากฝังหรือต่อรองอะไรบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้ฝากฝัง ไม่มีต่อรอง เพียงแต่พูดว่าสิ่งที่เราจะทำได้ก็ยืนอยู่บนหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ก็คงไม่สามารถจะทำได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า 6 เดือนที่เหลืออยู่ ท่านนายกรัฐมนตรียืนยันได้หรือไม่ว่าการถอดใจคงไม่มี นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ถ้าหากว่าไม่มีปัญหา ไม่มีอุปสรรคที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากที่มากระทบกับการทำงาน ตนเองก็ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานต่อไป และคงไม่สามารถที่จะบอกถึงอนาคตได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่นี้จะไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรค ถ้ามีอุปสรรคขึ้นมา อย่างที่พลเอก บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวไว้แล้วว่าการแก้ไขปัญหาของนั้นจะใช้วิถีทางการเมือง จะไม่ใช้วิถีทางอื่น ไม่มีการที่จะดำเนินการอื่นใดที่จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากับชาติบ้านเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า วิถีทางการเมืองนี้ ใช่การลาออกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราจะหาทางแก้ไขโดยสันติวิธี
ผู้สื่อข่าวถามว่า อุปสรรคที่ทำให้ต้องตัดสินใจคืออะไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมือง เมื่อแก้ไขไม่ได้ เมื่อมีการปะทะกัน เมื่อมีการใช้กำลังกัน นั่นก็คือสิ่งที่ได้พูดไว้ และคงรักษาในสิ่งนี้ไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ตนเองไม่อยากให้คนไทยเกิดการปะทะกันถึงเลือดถึงเนื้อ นั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่อยากเห็นเลยในชีวิต และได้พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น จึงพยายามที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมือง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่สามารถที่จะดำเนินการไปได้ ตนเองอยากจะให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้ร่วมมือกัน ได้ช่วยกันแก้ไข ไม่ให้เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่ใช่แรงกดดันจาก คมช. ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คมช. ไม่ได้มีแรงกดดันอะไรเลย ก็พูดกันในทุกๆ เรื่องตลอดมา ไม่ได้มีแรงกดดันอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะทำอย่างไรกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เพิ่มดีกรีขึ้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็คงจะหาทางพูดคุยกัน หาทางทำความเข้าใจ สิ่งใดที่รัฐบาลจะสามารถนำมาปฏิบัติตามคำเรียกร้อง ตามสิ่งที่ส่วนต่างๆ ได้มีปัญหาอะไร เราก็พยายามแก้ไขในสิ่งเหล่านั้น นั่นคือแนวทางที่ยึดถือมา และคิดว่าเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถ้าหากว่าเราเปิดการพูดคุย เราไม่เปิดการเจรจา ต่างคนต่างก็ไป โดยที่ไม่ได้ฟังกันเลย มันก็คงไม่มีทางที่จะมาหาจุดซึ่งเป็นจุดร่วม เป็นจุดซึ่งสามารถหาทางแก้ไขปัญหากันได้
ผู้สื่อข่าว ถามว่า การปฏิวัติซ้อนจะเกิดขึ้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทาง คมช. ได้พูดคุยกับตนเองแล้ว เมื่อก่อนหน้าที่จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนั่นก็คงเป็นพียงข่าวลือ เป็นเพียงข่าวที่อาจจะได้มีผู้ที่พูดกันไป แต่ว่าในส่วนของ คมช. เองแล้ว ได้พยายามที่จะให้เหตุการณ์ในช่วงนี้คลี่คลายไปโดยไม่เกิดความรุนแรงเกิดขึ้น นั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนมีความปรารถนาไม่อยากให้เกิดอะไรต่างๆ ขึ้นมา
ผู้สื่อข่าว ถามว่า มีการคุยกับ คมช. หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็คงมีในวาระที่เราเห็นว่าควรจะหารือกัน ก็คงมีหลายๆ เรื่องซึ่งคงจะต้องหารือกัน บางเรื่องได้มีการพูดคุยไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งก็คงจะต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในห้วงระยะเวลาประมาณ 6 เดือนนี้ที่จะดำเนินการตามที่ได้มีการหารือกันไปแล้ว เพราะว่า รัฐบาลมีงานหลายๆ เรื่อง และคงจะมองภาพต่างๆ ไม่ทั่วถึงพอเพียง ก็ต้องการทั้งข้อคิดเห็น ต้องการทั้งคำแนะนำจากทุกๆ ส่วน เพื่อที่จะทำให้การทำงานนั้นเกิดความสมบูรณ์ให้มากที่สุด
ผู้สื่อข่าว ถามว่า อนาคตจะมีการปะทะกัน ทำให้ประชาชนเสียเลือดเนื้อหรือไม่ เหตุการณ์จะไปถึงขั้นนั้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แสดงความหวังว่าพวกเราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาโดยรอบคอบ และโดยสันติวิธี แต่ว่าในฐานะที่เป็นทหาร ทหารก็มองสถานการณ์ในลักษณะที่เป็นส่วนที่ร้ายไว้ก่อนเสมอ และหาทางที่จะไม่ให้ไปถึงจุดนั้น นั่นคือวิธีคิด ซึ่งตนเองได้เคยศึกษามา ได้เคยดำเนินการมา ฉะนั้น เราคิดว่าสิ่งที่ร้ายที่สุดเป็นอย่างไร และไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น นั่นก็คือสิ่งที่อยากจะให้พี่น้องประชาชนได้มองว่า เรามีทางเลือกที่ดีกว่านั้น มีทางเลือกที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหา และไปบรรลุเป้าหมายตามที่เราต้องการได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีการใช้กำลัง
ผู้สื่อข่าว ถามว่า ในช่วงการบริหารบ้านเมืองที่ผ่านมามีเรื่องใดบ้างที่รัฐบาลเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับ คมช. นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วย ถ้าจะถามว่ามีความเห็นแตกต่างหรือไม่ ก็มีบ้างในบางเรื่อง ในเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเรื่องการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ได้พูดคุยกันแล้วด้วยเหตุด้วยผล ทาง คมช. ก็เห็นชอบตามนั้น ก็ได้ข้อยุติว่ายังไม่ประกาศ ซึ่งทุกคนก็เห็นอยู่แล้วว่าเราได้ดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายอย่างจริงจัง เพราะในพระราชกำหนดนั้นได้ระบุไว้ว่า นายกรัฐมนตรีสามารถประกาศได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ถ้ายังไม่เกิดเหตุการณ์ ก็ยังไม่สามารถประกาศได้
ผู้สื่อข่าว ถามว่า 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องของ คมช. ในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาได้ ตอนนี้มีกระแสข่าวว่าทาง คมช. จะขอเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประธาน คมช. บอกแล้วว่าไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยน คุยกันนานแล้ว แต่ทั้ง 4 ข้อที่ว่านั้น มีบางข้อ อย่างเช่นข้อที่ 3 ในเรื่องการแทรกแซงองค์กรอิสระ ในรัฐบาลนี้ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระใดๆ เลย การปฏิบัติที่ผ่านมาเป็นเรื่องของรัฐบาลที่แล้วที่ไปแทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งไม่สามารถไปทำอะไรได้ กกต. ซึ่งถูกแทรกแซงได้ถูกศาลลงโทษไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ถ้าท่านไปดูให้ดีก็จะเห็นว่า บางข้อเป็นเรื่องที่ได้สมบูรณ์ไปแล้ว รัฐบาลนี้ไม่สามารถที่จะไปทำอะไรได้อีก ข้อสุดท้ายคือข้อที่ 4 ก็มีข่าวออกมาในขณะนี้ว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้สั่งไม่ฟ้องกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องว่าคุณทักษิณฯ ได้กระทำการอันหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งในรูปคดีก็คงเป็นเรื่องของทางกฎหมาย ตนเองก็ไม่ได้ไปทำอะไรที่จะทำให้กฎหมายนั้นเกิดความไม่ศักดิ์สิทธิ์ เราก็ดูกันว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างไร ในข้อแรก ในเรื่องที่จะดำเนินการต่อการกระทำอันมิชอบในเชิงทุจริตทั้งหลาย มีองค์กรอิสระที่ได้ดำเนินการอยู่ ซึ่งอาจจะมองว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจ รัฐบาลได้ให้ความสนใจมาโดยตลอด เราพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในทุกๆ เรื่อง แต่ในเรื่องของมติคณะรัฐมนตรีนั้น โดยได้เรียนชี้แจงเหตุผลต่อ คตส. ทั้งหมดแล้วว่า ถ้ามีความสงค์ในเรื่องใด ทำจดหมายหรือทำเรื่องมา ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถที่จะระบุได้ ต่อกรณีของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง เป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลได้สั่งการไปแล้วว่าให้ความร่วมมือในการที่จะให้ข้อมูลต่อ คตส. สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการต่อไปคือแก้ไขกฎหมาย ปปช. ในมาตราที่ 66 และ 67 ที่ได้ให้อำนาจ ป.ป.ช. และ คตส. ซึ่งใช้กฎหมาย ป.ป.ช. เช่นกัน ดำเนินการได้โดยที่ไม่ต้องมีผู้ที่ฟ้องร้องกล่าวโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่มีความสำคัญ ขณะนี้กฎหมายได้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปแล้วในการแก้ไข ก็คงรอที่จะเสร็จขั้นตอนก็คือมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็จะถือว่ามีผลใช้บังคับโดยสมบูรณ์
ผู้สื่อข่าว ถามเกี่ยวกับการให้เหตุผลในข้อ 4 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปตามกฎหมาย ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องเหตุผล เหตุผลข้อเดียวก็คงพอ
ผู้สื่อข่าว ถามว่า ถ้าอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ ติดต่อมา คิดว่าจะใช้วิธีทางใดที่จะเจรจาที่จะให้ลดสถานการณ์ภายในให้คลี่คลายลง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะพยายามและรับไว้ เพราะว่าหลายๆ อย่างคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณทักษิณฯ เพียงคนเดียว คงอยู่ที่บุคคลอีกหลายๆ ส่วนที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็จะพยายาม ถ้าหากคุณทักษิณฯ โทรศัพท์มาหาก็จะได้พูดกันถึงเรื่องเหล่านี้ว่า ขอให้ร่วมมือกันในการที่จะแก้ไขปัญหา
ผู้สื่อข่าว ถามว่า กลุ่มพันธมิตรปฏิเสธแนวทางการสมานฉันท์ จะเป็นแรงกดดดันที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เดียวกันในอดีตหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำเปรียบเทียบคำว่า “พระ” กับ “โจร” อยู่ด้วยกันไม่ได้ ผมและคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในหลักพุทธศาสนา ในหลักพุทธศาสนานั้น พระจะเป็นผู้ที่อภัยให้กับโจร พระพยายามที่จะพูดให้โจรกลับใจ พระพุทธเจ้าสอนองค์คุลีมาร ให้องค์คุลีมารกลับใจ และเป็นผู้ที่ผ่านที่ได้ไปนิพพานด้วย นั่นเป็นสิ่งที่สอนเราอย่างดีว่าในศาสนาพุทธนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นคนที่มีเมตตา เป็นคนที่มีความกรุณา ถ้าเราย้อนกลับไปดูในส่วนของพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั่นคือสิ่งที่คนที่นับถือศาสนาพุทธ ควรจะนำไปใช้ในการดำรงชีวิต ในการแก้ไขปัญหาของตนเอง
ผู้สื่อข่าว ถามเกี่ยวกับความมั่นใจที่นายกรัฐมนตรีจะอยู่ครบเทอม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองตั้งใจและทุ่มเทที่จะทำงานให้สำเร็จ
ผู้สื่อข่าว ถามว่า แสดงว่าที่ผ่านมาไม่ทุ่มเทใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มี เพราะตนเองทำงานทุกครั้งไม่เคยไม่ทุ่มเทเลย ในชีวิตไม่มีอะไรที่ไม่ทุ่มเท และได้อธิบายว่าวิธีคิดอย่างทหารคือคิดในสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ผู้สื่อข่าว ถามว่า สถานการณ์ในตอนนี้กับปัญหาสุขภาพของนายกรัฐมนตรี มีวิธีการบริหารสถานการณ์และอารมณ์ของตนเองอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองไม่มีปัญหาสุขภาพ ในขณะนี้ในเรื่องของตนเองไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่สิ่งที่ห่วงคือความรู้สึกของพี่น้องประชาชน ความกังวล ถ้าหากว่าเราช่วยกันตรงส่วนนี้ เรามองว่าเรามีโอกาสที่ดีกว่า เรามีโอกาสที่จะช่วยกัน มองในด้านที่เป็นบวก มองในด้านที่เป็นเชิงสร้างสรรค์ เราก็จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ แต่ถ้าเรามองในแง่ที่เป็นด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านเศรษฐกิจ ถ้าเรามองว่าเราแย่ ก็จะแย่ไปด้วย เรื่องใจเป็นเรื่องสำคัญที่จะมุ่งมั่น ซึ่งจะแก้ไขปัญได้แน่อน
ผู้สื่อข่าว ถามว่ากลุ่มการเมืองต่างๆ เป็นเงื่อนไขในการดำเนินการ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ได้ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจับตาดูอยู่ ถ้าหากว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมาย เราก็จะดำเนินการตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าว ถามว่า มีข่าวว่าพลเอกเปรมฯ ไม่พอใจบรรดาลูกหลานไม่ช่วยเหลือหรือว่าดูแลตรงนี้เลย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้พบกับท่านหลายครั้ง คงไม่มีปัญหาอะไร และเรียนท่านว่าเราจะยืนอยู่บนหลักการของการใช้กฎหมาย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--