ทำเนียบรัฐบาล--15 พ.ค.--บิสนิวส์
วันนี้เมื่อเวลา 09.45 น.ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง ได้เป็นประธานเปิดการสัมมนาการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง พร้อมทั้งบรรยายนำเรื่อง "ความสำคัญของการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ" ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย กรรมการและอนุกรรมการการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมืองจากทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษา สถาบันราชภัฎ และองค์กรเอกชน ประมาณ 150 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันในภารกิจ ขอบเขตและแผนงาน การรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดสัมมนาฯว่า การจัดตั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้นโบายของรัฐบาลที่สนับสนุนส่งเสริมการปฏิรูปทางการเมืองมีความโปร่งใส โดยเฉพาะการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะต้องดำเนินการควบคู่กับการผลักดันการปฏิรูประบบราชการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และบุคคลที่จะเข้ามาช่วยเหลือปรับระบบการปฏิรูปดังกล่าวให้ดีขึ้นได้นั้น ก็คือ บรรดาอาจารย์จากสถาบันการศึกษาต่างๆไม่ว่าจะสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย หรือสังกัดกระทรวงศึกษาธิการก็ตาม โดยรัฐบาลได้ให้สิทธิและเสรีภาพแก่สถาบันทุกแห่งในการรณรงค์ให้ประชาชนได้มีความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนการรับข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากประชาชนทั่วไปเสนอ สสร.
สำหรับการปฏิรูประบบราชการนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า ในส่วนของรัฐบาลได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งจะดำเนินการจัดสัมมนาทั้งหมด 6 ครั้ง โดยได้จัดไปแล้ว 2 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดทำแผนแม่บทของการปฏิรูประบบราชการให้เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ เพราะขณะนี้ระบบราชการมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านโครงสร้างหรือระบบการทำงานที่ขาดความชัดเจน ล่าช้า จนไม่สามารถแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้ทันท่วงที โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากระบบราชการที่ล้าสมัย ขาดความคล่องตัวในการประสานงาน ติดตามหรือปฏิบัติการในเรื่องของสังคมส่วนรวม ซึ่งมีหลายครั้งที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาดำเนินการแก้ไขด้วยตัวเอง เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆให้กระชับยิ่งขึ้น
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันปฏิรูประบบการเมืองและปฏิรูประบบราชการให้มีคุณภาพ โดยช่วยกันอย่างเต็มกำลังความสามารถทำเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันได้ขอความร่วมมือจากคณาจารย์ทุกคนช่วยกันปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วย โดยเฉพาะการนำระบบปฏิรูปการเมืองใส่ไว้ในหลักสูตรการศึกษา เพื่อคนรุ่นใหม่จะได้เกิดความเข้าใจและเตรียมพร้อมต่อสู้กับปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ต่อไป--จบ--
วันนี้เมื่อเวลา 09.45 น.ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง ได้เป็นประธานเปิดการสัมมนาการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง พร้อมทั้งบรรยายนำเรื่อง "ความสำคัญของการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ" ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย กรรมการและอนุกรรมการการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมืองจากทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษา สถาบันราชภัฎ และองค์กรเอกชน ประมาณ 150 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันในภารกิจ ขอบเขตและแผนงาน การรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดสัมมนาฯว่า การจัดตั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปการเมือง มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้นโบายของรัฐบาลที่สนับสนุนส่งเสริมการปฏิรูปทางการเมืองมีความโปร่งใส โดยเฉพาะการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะต้องดำเนินการควบคู่กับการผลักดันการปฏิรูประบบราชการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และบุคคลที่จะเข้ามาช่วยเหลือปรับระบบการปฏิรูปดังกล่าวให้ดีขึ้นได้นั้น ก็คือ บรรดาอาจารย์จากสถาบันการศึกษาต่างๆไม่ว่าจะสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย หรือสังกัดกระทรวงศึกษาธิการก็ตาม โดยรัฐบาลได้ให้สิทธิและเสรีภาพแก่สถาบันทุกแห่งในการรณรงค์ให้ประชาชนได้มีความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนการรับข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากประชาชนทั่วไปเสนอ สสร.
สำหรับการปฏิรูประบบราชการนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า ในส่วนของรัฐบาลได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งจะดำเนินการจัดสัมมนาทั้งหมด 6 ครั้ง โดยได้จัดไปแล้ว 2 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดทำแผนแม่บทของการปฏิรูประบบราชการให้เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ เพราะขณะนี้ระบบราชการมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านโครงสร้างหรือระบบการทำงานที่ขาดความชัดเจน ล่าช้า จนไม่สามารถแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้ทันท่วงที โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากระบบราชการที่ล้าสมัย ขาดความคล่องตัวในการประสานงาน ติดตามหรือปฏิบัติการในเรื่องของสังคมส่วนรวม ซึ่งมีหลายครั้งที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาดำเนินการแก้ไขด้วยตัวเอง เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆให้กระชับยิ่งขึ้น
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกันปฏิรูประบบการเมืองและปฏิรูประบบราชการให้มีคุณภาพ โดยช่วยกันอย่างเต็มกำลังความสามารถทำเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันได้ขอความร่วมมือจากคณาจารย์ทุกคนช่วยกันปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วย โดยเฉพาะการนำระบบปฏิรูปการเมืองใส่ไว้ในหลักสูตรการศึกษา เพื่อคนรุ่นใหม่จะได้เกิดความเข้าใจและเตรียมพร้อมต่อสู้กับปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ต่อไป--จบ--