ทำเนียบรัฐบาล--19 ธ.ค.--บิสนิวส์
สำนักโฆษกขอสรุปการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่สำคัญในรอบสัปดาห์ดังนี้
1. กรมศุลกากรรายงานตัวเลขการนำเข้าและส่งออกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ประเทสไทยสามารถส่งสินค้าออกมากกว่านำเข้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ของปีนี้ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน แต่ทั้งนี้ตัวเลขการนำเข้า-ออกในระยะ 10 เดือนแรกของปีนี้ยังอยู่ในภาวะของการขาดดุล
2. กระทรวงพาณิชย์ เริ่มดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลวีซ่า สิ่งทออิเล็กทรอนิกส์ด้วยระบบ Electronic Visa Information System หรือ ELVIS อย่างเป็นทางการกับประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 เป็นต้นไป ซึ่งระบบนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างกรมการค้าต่างประเทศและศุลกากรสหรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการออกหนังสือรับรองการส่งออกสิ่งทอ และข้อมูลนำเข้าสิ่งทอไทย ในรูป Electronic Data Interchange หรือ EDI โดยสินค้าสิ่งทอไทยที่ส่งไปสหรัฐจะสามารถผ่านการตรวจปล่อยพิธีศุลกากรได้รวดเร็วกว่าประเทศคู่แข่งและสามารถป้องกันการปลอมแปลงหนังสือการรับรองการส่งออกสิ่งทอจากผู้ประกอบการที่ทุจริตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ะบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นแหล่งข้อมูล เพื่อรับระบบสารสนเทศสิ่งทอในการกำหนดกลยุทธ์การส่งออกสิ่งทอของไทยให้เป็นหนึ่งในตลาดสหรัฐด้วย และหากการแลกเปลี่ยนดังกล่าวประสบความสำเร็จก็จะมีการกำหนดวิธีก้าวไปสู่ระบบ Paperless ต่อไปด้วย
3. รัฐบาบได้ออกมาตรการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ส่งออก โดยกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์จาก 7% เหลือ 6% ส่งผลให้มีเงินเข้ามาสู่ระบบเพื่อเสริมสภาพคล่องอีก 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กู้เงินจากต่างประเทศมาเพิ่มอีก 500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งขณะนี้วงเงินดังกล่าวใช้ไปเพียง 76 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เหลืออีก 424 ล้านดอลล่าร์สหรัฐที่พร้อมจะปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารพาณิชย์ให้กับผู้ส่งออก นอกจากนี้ ธปท.ยังจัดสรรวงเงินแก่โรงสีและผู้ค้าข้าวเปลือก โดยรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการซื้อข้าวเปลือกในวงเงิน 5,000 ล้านบาท รวมกับธนาคารพาณิชย์อีก 5,000 ล้านบาท เป็นวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท--จบ--
สำนักโฆษกขอสรุปการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่สำคัญในรอบสัปดาห์ดังนี้
1. กรมศุลกากรรายงานตัวเลขการนำเข้าและส่งออกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ประเทสไทยสามารถส่งสินค้าออกมากกว่านำเข้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ของปีนี้ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน แต่ทั้งนี้ตัวเลขการนำเข้า-ออกในระยะ 10 เดือนแรกของปีนี้ยังอยู่ในภาวะของการขาดดุล
2. กระทรวงพาณิชย์ เริ่มดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลวีซ่า สิ่งทออิเล็กทรอนิกส์ด้วยระบบ Electronic Visa Information System หรือ ELVIS อย่างเป็นทางการกับประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 เป็นต้นไป ซึ่งระบบนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างกรมการค้าต่างประเทศและศุลกากรสหรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการออกหนังสือรับรองการส่งออกสิ่งทอ และข้อมูลนำเข้าสิ่งทอไทย ในรูป Electronic Data Interchange หรือ EDI โดยสินค้าสิ่งทอไทยที่ส่งไปสหรัฐจะสามารถผ่านการตรวจปล่อยพิธีศุลกากรได้รวดเร็วกว่าประเทศคู่แข่งและสามารถป้องกันการปลอมแปลงหนังสือการรับรองการส่งออกสิ่งทอจากผู้ประกอบการที่ทุจริตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ะบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นแหล่งข้อมูล เพื่อรับระบบสารสนเทศสิ่งทอในการกำหนดกลยุทธ์การส่งออกสิ่งทอของไทยให้เป็นหนึ่งในตลาดสหรัฐด้วย และหากการแลกเปลี่ยนดังกล่าวประสบความสำเร็จก็จะมีการกำหนดวิธีก้าวไปสู่ระบบ Paperless ต่อไปด้วย
3. รัฐบาบได้ออกมาตรการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ส่งออก โดยกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์จาก 7% เหลือ 6% ส่งผลให้มีเงินเข้ามาสู่ระบบเพื่อเสริมสภาพคล่องอีก 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กู้เงินจากต่างประเทศมาเพิ่มอีก 500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งขณะนี้วงเงินดังกล่าวใช้ไปเพียง 76 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เหลืออีก 424 ล้านดอลล่าร์สหรัฐที่พร้อมจะปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารพาณิชย์ให้กับผู้ส่งออก นอกจากนี้ ธปท.ยังจัดสรรวงเงินแก่โรงสีและผู้ค้าข้าวเปลือก โดยรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการซื้อข้าวเปลือกในวงเงิน 5,000 ล้านบาท รวมกับธนาคารพาณิชย์อีก 5,000 ล้านบาท เป็นวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท--จบ--