ทำเนียบรัฐบาล--25 พ.ย.--บิสนิวส์
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอรรคพล สรสุชาติ แถลงถึงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายโก๊ะ จ็อก ตง (Goh Chok Tong) นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ที่โรงแรมแพนแปซิฟิค ว่านายกรัฐมนตรี ได้สรุปถึงภาวะวิกฤติทางการเงินของไทย พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซึ่งวางกรอบโดยไอเอ็มเอฟอย่างเคร่งครัด และจะทำงานหนักร่วมกับประชาชน โดยรัฐบาลอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการที่ค่อนข้างรุนแรง แต่จะได้ประกาศให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งเชื่อว่าประชาชนจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้โดยเร็ว ในส่วนของการแก้ไขปัญหาด้านการสถาบันเงิน นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันว่ารัฐบาลจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนธันวาคม 2540 นี้อย่างแน่นอน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะได้แถลงให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วมีความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นเรื่องของวิกฤติศรัทธาในระยะสั้น แต่จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของไทย ทำให้รัฐบาล และนักธุรกิจสิงคโปร์ ตลอดจน ภาคเอกชนสิงคโปร์ ยังเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจได้ จึงส่งผลให้มีการถอนการลงทุนบางส่วนออกจากประเทศไทย ดังนั้น หากรัฐบาลไทยสามารถดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยยืนยันถึงความตั้งใจจริงกับที่ประชุมเอเปคในครั้งนี้แล้ว ก็จะสร้างความมั่นใจให้กับต่างชาติได้มาก เพราะรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันได้รับการยอมรับจากประชาชน ซึ่งถ้ามาตรการต่าง ๆ ได้รับดำเนินการจนสามารถเห็นผลคืบหน้าภายใน 3 เดือน ก็เชื่อว่าความเชื่อมั่นจะกลับคืนมา ทั้งนี้ สิ่งที่สิงคโปร์มีความกังวล คือ ปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในภูมิภาค ซึ่งได้ส่งผลต่อการลงทุนในสถาบันการเงินและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และหากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพที่ดีแล้ว การลงทุนก็จะเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้กล่าวย้ำด้วยว่า จะอธิบายและพูดกับนักลงทุนสิงคโปร์เพื่อให้ความมั่นใจ และยืนยันอีกครั้งว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันได้รับการยอมรับจากประชาชน และได้รับศรัทธา ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ให้ความมั่นใจได้ว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามกรอบของไอเอ็มเอฟได้ อันจะเป็นสัญญาณ ที่ดีต่อนักลงทุน ทั้งในภูมิภาคนี้และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้หารือในเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนข้าราชการและนักศึกษาโดยมีการยืนยันว่าจะให้ดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงความเป็นไปได้ที่จะส่งนักเรียนนักศึกษาไทยไปศึกษาต่อที่สิงคโปร์มากขึ้นเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้กล่าวว่า รัฐบาลสิงคโปร์มีนโยบายที่ขยายให้นักศึกษาต่างชาติมาศึกษาต่อมาขึ้นอีกร้อยละ 20 และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนการศึกษาอาเซียน และเอเปค โดยจะเน้นในสาขาวิศวะ การบริหารนโยบายของรัฐบาล การส่งเสริมผู้นำทางการบริหาร ธุรกิจบัณฑิตด้วย
สำหรับในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรียังได้หารือทวิภาคีกับนายเจียง เจ๋อหมิน ประธานาธิบดีจีน ดร.มหาเธร์ บินโมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายจอห์น โฮเวิร์ด นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงค่ำนายกรัฐมนตรีไม่ได้ไปร่วมงานแวนคูเวอร์กาลา 97 โดยได้รับมอบหมายให้นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปร่วมงานแทน
นายอรรคพล สรสุชาติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงอีกครั้งว่า ในการหารือกับผู้นำทั้ง 3 ประเทศในช่วงบ่าย ทุกประเทศแสดงความเป็นห่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันต่อทุกประเทศว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเฉียบพลันในระบอบประชาธิปไตยตามเสียงเรียกร้องของประชาชน รัฐบาลก็จะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังและจะพยายามสร้างความจริงให้ปรากฏต่อประชาชนให้มากที่สุด หากทำได้ภายใน 3 เดือน ก็จะทำให้เศรษฐกิจของไทยดีขึ้น และคาดว่าภายในอีก 5-6 เดือนคงจะฟื้นตัวได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวด้วยว่า ประธานาธิบดีจีน ได้สนใจวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจมากพอสมควร โดยได้ให้มั่นใจต่อรัฐบาลใหม่ว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตในระยะยาวได้ อนึ่ง นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะพบกับประธานาธิบดีของจีนอีกครั้งในเดือนธันวาคม 2540 นี้ (ในช่วงการประชุมระหว่างผู้นำรัฐบาลอาเซียนกับผู้นำรัฐบาลจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประธานาธิบดีจีนว่า การหารือในเอเปคครั้งนี้ ประเทศทั้งสองมีจุดยืนใกล้เคียงกันในการเปิดเสรีทางการค้า
ทางด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้พูดถึงปัญหาสถาบันในภูมิภาคนี้และย้ำในจุดยืนที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พร้อมจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และยืนยันว่าจะไม่ลดสินค้านำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้ง จะได้พิจารณาสินค้าจากไทยเป็นพิเศษด้วย
สำหรับในช่วงการหารือระหว่างนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลออสเตรเลียที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ไทยพร้อมยืนยันว่า จะปฏิบัติตามกรอบของ IMF อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เม็ดเงินที่ได้จากประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือเกิดประโยชน์สูงสุด แม้ว่ามาตรการที่ผ่านมาจะไม่ชัดเจน แต่รัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ซึ่งเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งได้เพียง 2 สัปดาห์ ก็ได้บอกกล่าวกับประชาชน เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูล และสภาพความเป็นจริง รวมถึงแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล พร้อมกับได้ยืนยันด้วยว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะหากจำเป็นจะต้องออกมาตรการที่เข้มงวดและอาจจะเจ็บปวดบ้าง หรือจะส่งผลกระทบต่อการเมือง แต่รัฐบาลชุดนี้จะต้องตัดสินใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศไทย
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พาณิชภักดิ์) ได้มีการชี้แจงให้นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้รับทราบถึงมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทยได้เตรียมการไว้อย่างชัดเจน ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน 58 แห่งที่ถูกปิดไป รวมถึง สถาบันการเงินที่เหลืออีก 33 แห่ง และธนาคารอีก 15 แห่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียได้แสดงความพอใจและเห็นว่า การชี้แจงในเรื่องดังกล่าว หากผู้นำของไทยจะยืนยันถึงความตั้งใจจริงต่อที่ประชุมระดับผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ก็จะช่วยให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อการเรียกความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยกลับคืนมา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ยังกล่าวด้วยว่า ตนมีความเชื่อมั่นและเคารพในการตัดสินใจของรัฐบาลไทยและมีความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้ง ขอให้กำลังใจในการทำงานของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ เมื่อผู้นำไทยได้กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมเอเปคแล้ว เชื่อว่า จะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีถึงความเชื่อมั่นทั้งในระดับผู้นำประเทศ รวมถึงนักลงทุนระหว่างประเทศด้วย
ส่วนภาระกิจของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการที่จะร่วมรับประทานอาหารเช้าร่วมกับนายบิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมด้วย ผู้นำ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ส่วนในช่วงบ่ายจะเป็นการหารือในระดับผู้นำเศรษฐกิจเอเปควันแรก--จบ--
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอรรคพล สรสุชาติ แถลงถึงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายโก๊ะ จ็อก ตง (Goh Chok Tong) นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ที่โรงแรมแพนแปซิฟิค ว่านายกรัฐมนตรี ได้สรุปถึงภาวะวิกฤติทางการเงินของไทย พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซึ่งวางกรอบโดยไอเอ็มเอฟอย่างเคร่งครัด และจะทำงานหนักร่วมกับประชาชน โดยรัฐบาลอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการที่ค่อนข้างรุนแรง แต่จะได้ประกาศให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งเชื่อว่าประชาชนจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้โดยเร็ว ในส่วนของการแก้ไขปัญหาด้านการสถาบันเงิน นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันว่ารัฐบาลจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนธันวาคม 2540 นี้อย่างแน่นอน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะได้แถลงให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วมีความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นเรื่องของวิกฤติศรัทธาในระยะสั้น แต่จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของไทย ทำให้รัฐบาล และนักธุรกิจสิงคโปร์ ตลอดจน ภาคเอกชนสิงคโปร์ ยังเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจได้ จึงส่งผลให้มีการถอนการลงทุนบางส่วนออกจากประเทศไทย ดังนั้น หากรัฐบาลไทยสามารถดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยยืนยันถึงความตั้งใจจริงกับที่ประชุมเอเปคในครั้งนี้แล้ว ก็จะสร้างความมั่นใจให้กับต่างชาติได้มาก เพราะรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันได้รับการยอมรับจากประชาชน ซึ่งถ้ามาตรการต่าง ๆ ได้รับดำเนินการจนสามารถเห็นผลคืบหน้าภายใน 3 เดือน ก็เชื่อว่าความเชื่อมั่นจะกลับคืนมา ทั้งนี้ สิ่งที่สิงคโปร์มีความกังวล คือ ปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในภูมิภาค ซึ่งได้ส่งผลต่อการลงทุนในสถาบันการเงินและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และหากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพที่ดีแล้ว การลงทุนก็จะเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้กล่าวย้ำด้วยว่า จะอธิบายและพูดกับนักลงทุนสิงคโปร์เพื่อให้ความมั่นใจ และยืนยันอีกครั้งว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันได้รับการยอมรับจากประชาชน และได้รับศรัทธา ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ให้ความมั่นใจได้ว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามกรอบของไอเอ็มเอฟได้ อันจะเป็นสัญญาณ ที่ดีต่อนักลงทุน ทั้งในภูมิภาคนี้และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายยังได้หารือในเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนข้าราชการและนักศึกษาโดยมีการยืนยันว่าจะให้ดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงความเป็นไปได้ที่จะส่งนักเรียนนักศึกษาไทยไปศึกษาต่อที่สิงคโปร์มากขึ้นเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้กล่าวว่า รัฐบาลสิงคโปร์มีนโยบายที่ขยายให้นักศึกษาต่างชาติมาศึกษาต่อมาขึ้นอีกร้อยละ 20 และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนการศึกษาอาเซียน และเอเปค โดยจะเน้นในสาขาวิศวะ การบริหารนโยบายของรัฐบาล การส่งเสริมผู้นำทางการบริหาร ธุรกิจบัณฑิตด้วย
สำหรับในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรียังได้หารือทวิภาคีกับนายเจียง เจ๋อหมิน ประธานาธิบดีจีน ดร.มหาเธร์ บินโมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายจอห์น โฮเวิร์ด นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงค่ำนายกรัฐมนตรีไม่ได้ไปร่วมงานแวนคูเวอร์กาลา 97 โดยได้รับมอบหมายให้นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปร่วมงานแทน
นายอรรคพล สรสุชาติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงอีกครั้งว่า ในการหารือกับผู้นำทั้ง 3 ประเทศในช่วงบ่าย ทุกประเทศแสดงความเป็นห่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันต่อทุกประเทศว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเฉียบพลันในระบอบประชาธิปไตยตามเสียงเรียกร้องของประชาชน รัฐบาลก็จะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังและจะพยายามสร้างความจริงให้ปรากฏต่อประชาชนให้มากที่สุด หากทำได้ภายใน 3 เดือน ก็จะทำให้เศรษฐกิจของไทยดีขึ้น และคาดว่าภายในอีก 5-6 เดือนคงจะฟื้นตัวได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวด้วยว่า ประธานาธิบดีจีน ได้สนใจวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจมากพอสมควร โดยได้ให้มั่นใจต่อรัฐบาลใหม่ว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตในระยะยาวได้ อนึ่ง นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะพบกับประธานาธิบดีของจีนอีกครั้งในเดือนธันวาคม 2540 นี้ (ในช่วงการประชุมระหว่างผู้นำรัฐบาลอาเซียนกับผู้นำรัฐบาลจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประธานาธิบดีจีนว่า การหารือในเอเปคครั้งนี้ ประเทศทั้งสองมีจุดยืนใกล้เคียงกันในการเปิดเสรีทางการค้า
ทางด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้พูดถึงปัญหาสถาบันในภูมิภาคนี้และย้ำในจุดยืนที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พร้อมจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และยืนยันว่าจะไม่ลดสินค้านำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้ง จะได้พิจารณาสินค้าจากไทยเป็นพิเศษด้วย
สำหรับในช่วงการหารือระหว่างนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลออสเตรเลียที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ไทยพร้อมยืนยันว่า จะปฏิบัติตามกรอบของ IMF อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เม็ดเงินที่ได้จากประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือเกิดประโยชน์สูงสุด แม้ว่ามาตรการที่ผ่านมาจะไม่ชัดเจน แต่รัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ซึ่งเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งได้เพียง 2 สัปดาห์ ก็ได้บอกกล่าวกับประชาชน เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูล และสภาพความเป็นจริง รวมถึงแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล พร้อมกับได้ยืนยันด้วยว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะหากจำเป็นจะต้องออกมาตรการที่เข้มงวดและอาจจะเจ็บปวดบ้าง หรือจะส่งผลกระทบต่อการเมือง แต่รัฐบาลชุดนี้จะต้องตัดสินใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศไทย
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พาณิชภักดิ์) ได้มีการชี้แจงให้นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้รับทราบถึงมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทยได้เตรียมการไว้อย่างชัดเจน ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน 58 แห่งที่ถูกปิดไป รวมถึง สถาบันการเงินที่เหลืออีก 33 แห่ง และธนาคารอีก 15 แห่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียได้แสดงความพอใจและเห็นว่า การชี้แจงในเรื่องดังกล่าว หากผู้นำของไทยจะยืนยันถึงความตั้งใจจริงต่อที่ประชุมระดับผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ก็จะช่วยให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อการเรียกความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยกลับคืนมา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ยังกล่าวด้วยว่า ตนมีความเชื่อมั่นและเคารพในการตัดสินใจของรัฐบาลไทยและมีความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้ง ขอให้กำลังใจในการทำงานของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ เมื่อผู้นำไทยได้กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมเอเปคแล้ว เชื่อว่า จะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีถึงความเชื่อมั่นทั้งในระดับผู้นำประเทศ รวมถึงนักลงทุนระหว่างประเทศด้วย
ส่วนภาระกิจของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการที่จะร่วมรับประทานอาหารเช้าร่วมกับนายบิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมด้วย ผู้นำ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ส่วนในช่วงบ่ายจะเป็นการหารือในระดับผู้นำเศรษฐกิจเอเปควันแรก--จบ--