ทำเนียบรัฐบาล--20 พ.ย.--บิสนิวส์
วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2540) เวลา 17.00 น. ณ ห้องรับรองที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นายอากีระ นิชิงากิ (Akira Nishigaki) ประธานกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลแห่งประเทศญี่ปุ่น (Overseas Economic Co-operation Fund of Japan - OECF) ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2540 และได้สนทนาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ได้กล่าวแสดงความของคุณประธาน OECF ที่ได้มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยมาตลอด โดยผ่านกองทุน OECF ที่ได้ดำเนินมาเป็นเวลายาวนาน พร้อมกับกล่าวแสดงความขอบคุนในนามของประชาชนชาวไทยต่อความช่วยเหลือที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้แก่ประเทศไทยในยามที่กำลังประสบวิกฤตการณ์ทางการเงิน รวมทั้งได้ช่วยเหลือในการเจรจากับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จนได้รับความช่วยเหลือในด้านเงินกู้ในขณะนี้ รัฐบาลไทยตระหนักดีว่าเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต แต่ก็เป็นความท้าทายที่รัฐบาลภายใต้การนำของตนอาสาเข้ามาแก้ไข เพราะประชาชนไทยทั้งประเทศต่างคาดหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาให้บรรเทาเบาบางลงได้ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลา แต่ก็ได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะทำงานอย่างเต็มกำลังความรู้ความสามารถ
ในโอกาสนี้ ประธาน OECF แจ้งว่า รัฐบาลญี่ปุ่นและ OECF ยังมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาจนผ่านพ้นวิกฤตการ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้ไปได้ ทั้งนี้ทาง OECF พร้อมให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา OECF ได้ให้ความสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยมาตลอด และรู้สึกยินดีที่ทราบว่าประเทศไทยได้ใช้เงินช่วยเหลือที่ได้รับจาก OECF ไปในด้านการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันไทยเป็นประเทศอยู่ในอันดับที่ 5 ของ 85 ประเทศที่ได้รับเงินกู้จาก OECF และเงินกู้นี้นับว่ามากกว่าเงินที่ไทยกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย ปัจจัยที่ประเทศไทยได้รับเงินกู้จำนวนมากดังกล่าวเพราะญี่ปุ่นเห็นว่าประเทศไทยเป็นมิตรที่ดีมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นมั่นใจในโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และได้ประเมินแล้วว่านโยบายการเงินการคลังที่ประเทศไทยนำมาใช้ในการแก้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้มีความเหมาะสม และสามารถใช้ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นผลสำเร็จ ซึ่งทาง OECF เองก็พร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาดังกล่าวในส่วนที่สามารถช่วยเหลือ
นอกจากนี้ ประธาน OECF ได้ให้ความเห็นว่าแม้ว่าประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องเร่งเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันโดยเร็ว รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาของภาคสถาบันการเงินให้สำเร็จลุล่วงเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจไทยกลับคืนมา โดยได้ตั้งข้อสังเกตุว่ารัฐบาลไทยจะต้องกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูสภาวะเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตในระดับสูงดังเช่นในอดีต ควบคู่กับการรักษาสภาวะแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ทาง OECF ยินดีให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างชุมชนเมืองและชนบท และปัญหาสิ่งแวดล้อมตามแนวทางที่รัฐบาบลเห็นว่าเหมาะสม
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ประธาน OECF ทราบถึงมาตรการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศว่า จะปฏิบัติตามความตกลงที่ได้ทำไว้กับ IMF อย่างเคร่งครัด เน้นการรักษาระเบียบวินัยทางการเงินการคลัง และควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณของประเทศอย่างเข้มงวด รวมทั้งจะจัดทำงบประมาณแบบสมดุล เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา อย่างไรก็ดี โดยที่มาตรการต่าง ๆ อาจมีผลกระทบต่อประชาชน ดังนั้น รัฐบาลจะแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนหันมาร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา ถ้ารัฐบาลจะตัดสินใจเรื่องใด ๆ ก็จะทำด้วยความรอบคอบและมั่นคง พร้อมกับกล่าวขอบคุณประธาน OECF ในการให้ความช่วยเหลือประเทศไทยสืบต่อไป
ในการนี้ ประธาน OECF กล่าวสนับสนุนความเห็นของนายกรัฐมนตรีว่า ในบางครั้งการแก้ปัญหาอาจก่อให้เกิดผลกระทบตามมา แต่การกระทำในสิ่งที่ถูกต้องและก่อประโยชน์ในระยะยาว เราก็ต้องยอมรับต่อความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น เพื่อก้าวไปสู่ความเจริญเติบโตในภายหน้า และเชื่อมั่นว่าประชาชนไทยคงเข้าในและให้ความสนับสนุนรัฐบาลในเรื่องนี้ พร้อมกับได้ข้อสังเกตว่า ในภาวะที่ประเทศเผชิญปัญหาการเงินการคลัง รัฐบาลจะต้องตัดสินใจด้วยความรอบคอบและระมัดระวังในการลงทุนโครงการต่าง ๆ และการกู้เงินจากต่างประเทศ รวมทั้งโครงการนั้น ๆ จะต้องเป็นโครงการที่มีความจำเป็น และก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่าประเทศไทยตระหนักดีในข้อสังเกตดังกล่าว และให้ความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะดำเนินการโครงการต่าง ๆ โดยตั้งอยู่บนหลักของผลตอบแทนที่ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจ เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ชี้ให้เห็นว่าไม่ควรทำการลงทุนในโครงการที่ไม่ก่อประโยชน์ให้เห็นอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ดี ประธาน OECF ให้ความเห็นว่า แม้ว่าปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหาระยะสั้น โดยมีสิ่งสำคัญคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจไทยและค่าของเงินบาท แต่ก็ควรเร่งเพิ่มอำนาจการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวเพราะเป็นสิ่งสำคัญ และ OECF ก็ยินดีให้ความสนับสนุนในเรื่องนี้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่ภาคเอกชนไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ในระยะสั้น แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะเป็นเรื่องของภาคเอกชนมากกว่าของรัฐบาล แต่ปัญหาสภาพคล่องดังกล่าวก็มีความรุนแรงมาก ดังนั้น หากประธาน OECF จะกรุณาชี้แจงและทำความเข้าใจให้ภาคเอกชนและภาคธุรกิจธนาคารของญี่ปุ่นได้ทราบข้อจำกัดนี้ และช่วยหาทางผ่อนคลายการชำระหนี้ของภาคเอกชนไทย ในภาวะวิกฤตก็ช่วยบรรเทาความรุนแรงลงไปได้ การที่ต้องขอความร่วมมือในเรื่องนี้เนื่องจากรัฐบาบลเห็นว่าควรเข้าไปช่วยดูแลภาคเอกชนในยามมีปัญหา เพราะในยามที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะที่ดี ภาคเอกชนก็ได้มีส่วนอย่างสำคัญในการขยายอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ ในเรื่องนี้ประธาน OECF ได้แจ้งว่าจะนำข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีไปแจ้งให้ภาคเอกชนและนักธุรกิจการธนาคารของญี่ปุ่นได้ทราบ เพื่อขอความร่วมมือในเรื่องนี้ พร้อมกับแจ้งว่าความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนระยะเวลาในการชำระหนี้ดังกล่าวคงขึ้นอยู่กับระดับความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างไรก็ดี ทุกครั้งที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคและแก้ปัญหาไปได้ และว่าปัญหาที่เกิดเป็นเพียงปัญหาระยะสั้น แต่โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ ประกอบกับรัฐบาลไทยมีนโยบายที่เหมาะสมในการแก้ปัญหามาตลอด จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถแก้ไขภาวะวิกฤตในขณะนี้ไปได้ด้วยความสำเร็จ--จบ--
วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2540) เวลา 17.00 น. ณ ห้องรับรองที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นายอากีระ นิชิงากิ (Akira Nishigaki) ประธานกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลแห่งประเทศญี่ปุ่น (Overseas Economic Co-operation Fund of Japan - OECF) ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2540 และได้สนทนาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ได้กล่าวแสดงความของคุณประธาน OECF ที่ได้มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยมาตลอด โดยผ่านกองทุน OECF ที่ได้ดำเนินมาเป็นเวลายาวนาน พร้อมกับกล่าวแสดงความขอบคุนในนามของประชาชนชาวไทยต่อความช่วยเหลือที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้แก่ประเทศไทยในยามที่กำลังประสบวิกฤตการณ์ทางการเงิน รวมทั้งได้ช่วยเหลือในการเจรจากับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จนได้รับความช่วยเหลือในด้านเงินกู้ในขณะนี้ รัฐบาลไทยตระหนักดีว่าเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต แต่ก็เป็นความท้าทายที่รัฐบาลภายใต้การนำของตนอาสาเข้ามาแก้ไข เพราะประชาชนไทยทั้งประเทศต่างคาดหวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาให้บรรเทาเบาบางลงได้ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลา แต่ก็ได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะทำงานอย่างเต็มกำลังความรู้ความสามารถ
ในโอกาสนี้ ประธาน OECF แจ้งว่า รัฐบาลญี่ปุ่นและ OECF ยังมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาจนผ่านพ้นวิกฤตการ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้ไปได้ ทั้งนี้ทาง OECF พร้อมให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา OECF ได้ให้ความสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยมาตลอด และรู้สึกยินดีที่ทราบว่าประเทศไทยได้ใช้เงินช่วยเหลือที่ได้รับจาก OECF ไปในด้านการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันไทยเป็นประเทศอยู่ในอันดับที่ 5 ของ 85 ประเทศที่ได้รับเงินกู้จาก OECF และเงินกู้นี้นับว่ามากกว่าเงินที่ไทยกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย ปัจจัยที่ประเทศไทยได้รับเงินกู้จำนวนมากดังกล่าวเพราะญี่ปุ่นเห็นว่าประเทศไทยเป็นมิตรที่ดีมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นมั่นใจในโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และได้ประเมินแล้วว่านโยบายการเงินการคลังที่ประเทศไทยนำมาใช้ในการแก้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้มีความเหมาะสม และสามารถใช้ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นผลสำเร็จ ซึ่งทาง OECF เองก็พร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาดังกล่าวในส่วนที่สามารถช่วยเหลือ
นอกจากนี้ ประธาน OECF ได้ให้ความเห็นว่าแม้ว่าประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องเร่งเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันโดยเร็ว รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาของภาคสถาบันการเงินให้สำเร็จลุล่วงเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจไทยกลับคืนมา โดยได้ตั้งข้อสังเกตุว่ารัฐบาลไทยจะต้องกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูสภาวะเศรษฐกิจให้มีอัตราการเติบโตในระดับสูงดังเช่นในอดีต ควบคู่กับการรักษาสภาวะแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ทาง OECF ยินดีให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างชุมชนเมืองและชนบท และปัญหาสิ่งแวดล้อมตามแนวทางที่รัฐบาบลเห็นว่าเหมาะสม
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ประธาน OECF ทราบถึงมาตรการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศว่า จะปฏิบัติตามความตกลงที่ได้ทำไว้กับ IMF อย่างเคร่งครัด เน้นการรักษาระเบียบวินัยทางการเงินการคลัง และควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณของประเทศอย่างเข้มงวด รวมทั้งจะจัดทำงบประมาณแบบสมดุล เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา อย่างไรก็ดี โดยที่มาตรการต่าง ๆ อาจมีผลกระทบต่อประชาชน ดังนั้น รัฐบาลจะแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนหันมาร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา ถ้ารัฐบาลจะตัดสินใจเรื่องใด ๆ ก็จะทำด้วยความรอบคอบและมั่นคง พร้อมกับกล่าวขอบคุณประธาน OECF ในการให้ความช่วยเหลือประเทศไทยสืบต่อไป
ในการนี้ ประธาน OECF กล่าวสนับสนุนความเห็นของนายกรัฐมนตรีว่า ในบางครั้งการแก้ปัญหาอาจก่อให้เกิดผลกระทบตามมา แต่การกระทำในสิ่งที่ถูกต้องและก่อประโยชน์ในระยะยาว เราก็ต้องยอมรับต่อความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น เพื่อก้าวไปสู่ความเจริญเติบโตในภายหน้า และเชื่อมั่นว่าประชาชนไทยคงเข้าในและให้ความสนับสนุนรัฐบาลในเรื่องนี้ พร้อมกับได้ข้อสังเกตว่า ในภาวะที่ประเทศเผชิญปัญหาการเงินการคลัง รัฐบาลจะต้องตัดสินใจด้วยความรอบคอบและระมัดระวังในการลงทุนโครงการต่าง ๆ และการกู้เงินจากต่างประเทศ รวมทั้งโครงการนั้น ๆ จะต้องเป็นโครงการที่มีความจำเป็น และก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่าประเทศไทยตระหนักดีในข้อสังเกตดังกล่าว และให้ความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะดำเนินการโครงการต่าง ๆ โดยตั้งอยู่บนหลักของผลตอบแทนที่ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจ เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ชี้ให้เห็นว่าไม่ควรทำการลงทุนในโครงการที่ไม่ก่อประโยชน์ให้เห็นอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ดี ประธาน OECF ให้ความเห็นว่า แม้ว่าปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหาระยะสั้น โดยมีสิ่งสำคัญคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจไทยและค่าของเงินบาท แต่ก็ควรเร่งเพิ่มอำนาจการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวเพราะเป็นสิ่งสำคัญ และ OECF ก็ยินดีให้ความสนับสนุนในเรื่องนี้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่ภาคเอกชนไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ในระยะสั้น แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะเป็นเรื่องของภาคเอกชนมากกว่าของรัฐบาล แต่ปัญหาสภาพคล่องดังกล่าวก็มีความรุนแรงมาก ดังนั้น หากประธาน OECF จะกรุณาชี้แจงและทำความเข้าใจให้ภาคเอกชนและภาคธุรกิจธนาคารของญี่ปุ่นได้ทราบข้อจำกัดนี้ และช่วยหาทางผ่อนคลายการชำระหนี้ของภาคเอกชนไทย ในภาวะวิกฤตก็ช่วยบรรเทาความรุนแรงลงไปได้ การที่ต้องขอความร่วมมือในเรื่องนี้เนื่องจากรัฐบาบลเห็นว่าควรเข้าไปช่วยดูแลภาคเอกชนในยามมีปัญหา เพราะในยามที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะที่ดี ภาคเอกชนก็ได้มีส่วนอย่างสำคัญในการขยายอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ ในเรื่องนี้ประธาน OECF ได้แจ้งว่าจะนำข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีไปแจ้งให้ภาคเอกชนและนักธุรกิจการธนาคารของญี่ปุ่นได้ทราบ เพื่อขอความร่วมมือในเรื่องนี้ พร้อมกับแจ้งว่าความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนระยะเวลาในการชำระหนี้ดังกล่าวคงขึ้นอยู่กับระดับความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างไรก็ดี ทุกครั้งที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคและแก้ปัญหาไปได้ และว่าปัญหาที่เกิดเป็นเพียงปัญหาระยะสั้น แต่โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ ประกอบกับรัฐบาลไทยมีนโยบายที่เหมาะสมในการแก้ปัญหามาตลอด จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถแก้ไขภาวะวิกฤตในขณะนี้ไปได้ด้วยความสำเร็จ--จบ--