ทำเนียบรัฐบาล--26 ต.ค.--บิสนิวส์
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2541 เวลา 11.00 น. ตึกไทยคู่ฟ้า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับนายเฟรเดอริก ที. ซูมาเย ( H.E. Mr. Frederick T. Sumaye) นายกรัฐมนตรีแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย (The United Republic of Tanzania) และภริยา พร้อมด้วยคณะ ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยแบบ Working Visit ระหว่างวันที่ 15-18 ตุลาคม 2541 ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวต้อนรับ ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือข้อราชการระหว่างกัน ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า โดยมีบุคคลสำคัญฝ่ายไทยเข้าร่วมหารือได้แก่ ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรคพล สรสุชาติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น สรุปสาระสำคัญการสนทนาได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีแทนซาเนียและคณะ โดยเห็นว่าการเดินทางมาเยือนไทยครั้งนี้ จะเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นการเยือนครั้งแรกในระดับนายกรัฐมนตรีของแทนซาเนีย รวมทั้งยังจะเป็นโอกาสอันดีในการหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนของประเทศทั้งสอง ในโอกาสนี้ นายก-รัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ในช่วงเวลา 18 ปีของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและแทนซาเนีย ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วยดีตลอดมา
ในด้านนโยบายต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมความสัมพันธ์ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างเอเชียและแอฟริกัน ซึ่งในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีแทนซาเนียจะได้เดินทางไปร่วมประชุม Tokyo International Coference on African Development (TICAD) ครั้งที่ 2 ณ กรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม 2541 ภายหลังจากการเดินทางเยือนประเทศไทยนั้น รัฐบาลไทยก็จะส่งผู้แทนคือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปเข้าร่วมประชุมด้วยเช่นกัน
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์วางระเบิดสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ณ กรุงดาร์ เอส ซาลาม เมื่อเดือนธันวาคม 2541 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลไทยได้ส่งสารแสดงความเสียใจไปยังประธานาธิบดีแห่งแทนซาเนีย และได้บริจาคเวชภณฑ์จำนวนหนึ่งให้แก่แทนซาเนียด้วยจำนวนหนึ่งนายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย ได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อไมตรีจิตและความห่วงใยของรัฐบาลไทยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ซี่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวรัฐบาลแทนซาเนียได้มีการประนามผู้ก่อการร้ายดังกล่าวอย่างรุนแรงและปรารถนาด้วยว่า ประเทศผู้รักสันติทั้งหลาย รวมทั้งประเทศไทยจะให้ความสนับสนุนการประนามดังกล่าวด้วย พร้อมทั้งให้ความเห็นว่า ขณะนี้เป็นโอกาสดีที่ประเทศทั้งสองจะก้าวสู่การเปิดความสัมพันธ์หน้าใหม่ (new chapter of relationship) ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (South-South) และกับกลุ่มประเทศแปซิฟิก (Pacific Rim Countries)
ในด้านการค้า นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า แม้ว่ามูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งสองจะมีการขยายตัวมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ยังนับว่ามูลค่าที่น้อย แต่หากประเทศทั้งสองยังมีช่องทางที่จะเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน เนื่องจาก ทั้งไทยและแทนซาเนียต่างมีประชากรจำนวนมาก (แทนซาเนีย มีมากกว่า 30 ล้านคน) และไทยมีการนำเข้าสินค้าจากแทนซาเนีย ได้แก่ เส้นใยใช้ทอผ้า สินแร่โลหะ พลอยดิบ อัญมณี ไม้ซุง และไม้แปรรูป เป็นต้น ซึ่งตลาดของไทยยังมีความต้องการสินค้าดังกล่าวอีกมาก เนื่องจากไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป และเครื่องนุ่งห่ม พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำด้วยว่า แม้ประเทศไทยจะเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ยังมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี มีนโยบายการเปิดเสรีทางการค้า และมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น วิกฤตดังกล่าวจึงมิได้เป็นอุปสรรค แต่เป็นโอกาสในการขยายการค้าในช่วงที่ค่าเงินตกต่ำ สำหรับการค้าอัญมณี นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า ไทยได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางอัญมณีของโลก และมีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญมากขึ้น ในขณะที่แทนซาเนียมีศักยภาพด้านวัตถุดิบอัญมณี และสินแร่โลหะ ซึ่งไทยได้นำเข้าอัญมณีจากแทนซาเนียมากเป็นอันดับสาม รองจากฝ้าย และสินแร่โลหะ ทั้งสองประเทศจึงยังมีลู่ทางในการขยายความร่วมมือในด้านดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย ก็ได้กล่าวเชิญชวนให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนด้านอัญมณีในแทนซาเนียมากขึ้น เนื่องจากแทนซาเนียมีแหล่งวัตถุดิบจำนวนมาก แต่ยังขาดผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่นักธุรกิจไทยมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจดังกล่าว พร้อมกับแจ้งว่าขณะนี้แทนซาเนีย อยู่ในระหว่างการปฏิรูประบบเศรษฐกิจไปสู่ระบบตลาดเสรี และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะมีการพัฒนามากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยและแทนซาเนียจึงควรมีความส่งเสริมความร่วมมือกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีไทยให้ความเห็นว่า ปัจจุบันมีนักธุรกิจไทยจำนวนหนึ่งเข้าไปลงทุนในแทนซาเนียด้านธุรกิจอัญมณีและอื่นๆ จึงขอให้รัฐบาลแทนซาเนีย ให้ความดูแลและปกป้องผลประโยชน์นักธุรกิจไทยด้วย และเห็นว่าทุกประเทศต่างต้องการให้นักธุรกิจต่างชาติมาลงทุนในประเทศของตน แม้แต่ไทยเองก็ต้องการการลงทุนจากต่างประเทศเช่นกัน ดังนั้น หากรัฐบาลแทนซาเนีย ให้ความดูแลคุ้มครองนักธุรกิจต่างชาติเป็นอย่างดีแล้ว ย่อมจะเป็นปัจจัยดึงดูดให้นักธุรกิจไทยเดินทางไปลงทุนมากขึ้น
ในด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย ได้แสดงความสนใจที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือกับไทยในธุรกิจการท่องเที่ยว เนื่องจากไทยมีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว และรัฐบาลแทนซาเนียมีนโยบายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของตน เพราะมีพื้นที่ป่าสงวนจำนวนมากคิดเป็นหนึ่งในสี่ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ และยังมีสัตว์ป่าจำนวนมากรวมถึงภูมิประเทศทางธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสนับสนุนที่จะส่งเสริมความร่วมมือในด้านท่องเที่ยวต่อไป โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 5 ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ต้องประสบกับภาวะซบเซาทางธุรกิจท่องเที่ยว
ในด้านการเกษตรนั้น นายกรัฐมนตรีแทนซาเนียกล่าวว่า โดยที่ประเทศแทนซาเนีย มีพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกจำนวนมาก โดยเฉพาะการเพาะปลูกฝ้าย ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ปัญหาที่แทนซาเนียประสบอยู่คือ การขาดแคลนน้ำอันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งในช่วงสองปีที่ผ่านมา และยังมีความต้องการด้านความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีด้านการเกษตร โดยเฉพาะการเกษตรกรรมเกี่ยวกับการเพาะปลูกข้าว ซึ่งแทนซาเนียได้สั่งซื้อข้าวจากประเทศไทยเป็นจำนวนมากทุกปี ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรแทนซาเนีย ได้ขอให้รัฐบาลไทยช่วยพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านการวิจัย และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรเพื่อการพัฒนาด้านการเพาะปลูกและการเกษตรกรรม ซึ่งประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญด้วย เนื่องจาก รัฐบาลแทนซาเนียมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนอาหารของประเทศ จึงมีนโยบายและให้ความสำคัญกับการเตรียมการในด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เป็นอันดับแรก เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำเนินการในเรื่องอื่นๆ ต่อไป
ทั้งนี้ รัฐบาลแทนซาเนีย ยินดีต้อนรับนักลงทุนจากประเทศไทย หรือผู้ที่มีความสนใจที่จะไปลงทุนด้านการเกษตร การเพาะปลูกข้าว หรือพืชเกษตรอื่นๆ ในแทนซาเนีย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้าของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ โรงงานทอผ้าและสิ่งทอในแทนซาเนียหลายแห่ง ได้ปิดกิจการลงอันเนื่องจากปัญหาทางด้านการเงิน และได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปูลกฝ้ายจำนวนมาก ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดี สำหรับนักธุรกิจไทยที่มีความสนใจที่จะเข้าไปดำเนินกิจการต่อในโรงงานสิ่งทอของแทนซาเนีย ซึ่งมีสินค้าวัตถุดิบอันได้แก่ ฝ้ายจำนวนมาก
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอบว่ารัฐบาลไทยยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการและเทคโนโลยีแก่แทนซาเนียต่อไป และที่ผ่านมารัฐบาลไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือในด้านวิชาการในรูปของการให้ทุนการศึกษาและการอบรมด้านการเกษตรแก่เจ้าหน้าที่ของแทนซาเนียในประเทศไทย ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะประสบกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ แต่โดยที่ไทยมีพื้นฐานทางการเกษตรที่แข็งแกร่ง และสามารถผลิตสินค้าอาหารสำหรับบริโภคภายในประเทศ ได้พอเพียงและส่งออกไปขายยังต่างประเทศเป็นอันดับหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยาง และมันสำปะหลังเป็นต้น
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้นายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย ได้ช่วยประสานงานในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยสำหรับกรณีข้อพิพาทระหว่างบริษัทค้าข้าวเอกชนไทยรายหนึ่ง ซึ่งได้ยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและการชำระหนี้จากรัฐบาลแซนซิบาร์ (ซึ่งเป็นรัฐบาลที่อยู่ภายใต้การปกครองของแทนซาเนีย) ซึ่งได้ติดค้างชำระการสั่งซื้อข้าวจากไทยด้วย ในการนี้ นายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย กล่าวตอบรับที่จะไปดำเนินการเจรจาและติดตามในเรื่องดังกล่าวต่อไป และเห็นว่าหากไทยและแทนซาเนีย ได้เสริมสร้างและขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้ากันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น จะเป็นช่องทางที่ทำให้ประเทศทั้งสองทั้งในภาครัฐและเอกชน มีการติดต่อประสานงาน และร่วมมือกันเพื่อการแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ รวมถึงการได้รับทราบข้อมูลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับนักธุรกิจไทยอย่างถูกต้องต่อไป อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปกป้องคุ้มครองคนไทยในแทนซาเนียด้วย
ต่อจากนั้น ในเวลา 12.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย พร้อมด้วยภริยา และคณะ โดยนายกรฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ในระหว่างงานเลี้ยงอาหารกลางวัน สรุปได้ดังนี้
รัฐบาลและประชาชนชาวไทยมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีแห่งแทนซาเนีย พร้อมด้วยภริยาและคณะ ซึ่งนับเป็นการเดินทางมาเยือนไทยเป็นครั้งแรกของผู้นำประเทศแทนซาเนีย ทั้งนี้ ในส่วนของการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ของสองประเทศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงเสด็จเยือนประเทศแทนซาเนียอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2537 ซึ่งนับเป็นการเยือนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ อันเปรียบเสมือนเป็นหลักไมล์ของการเพิ่มพูนและการกระชับความสัมพันธ์ของสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และนับตั้งแต่สองประเทศได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกันตั้งแต่ปี 2523 ความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมทั้งทางด้านการค้าและการลงทุนก็ได้ขยายตัวมากขึ้นเป็นลำดับทุกปี
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนาประเทศแทนซาเนีย โดยผ่านความช่วยเหลือทางวิชาการทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ และยังได้นำมาซึ่งความเข้าใจอันดีต่อกันมากขึ้นของประชาชนชาวไทยและแทนซาเนีย ในขณะนี้ แม้ว่าประเทศไทยกำลังประสบกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลจะยังคงมุ่งมั่นแสวงหาหนทางต่างๆ ในการสร้างเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ กับแทนซาเนียมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ การประชุมสัมนาส่งเสริมความสัมพันธ์เศรษฐกิจการค้าไทย-แทนซาเนีย กับภาคเอกชนของไทยในช่วงบ่ายวันนี้ (16 ตุลาคม 2541) จะเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้แสวงหาลู่ทางใหม่ๆ ในด้านการค้าและการลงทุนร่วมกัน และในโลกยุดปัจจุบัน ซึ่งเทคโนโลยีและการสื่อสารคมนาคมได้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจึงมีความปรารถนาที่จะพัฒนาและกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศต่างๆ จากทั่วทุกภูมิภาคของโลก รวมถึงประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแอฟริกา ดังเช่น แทนซาเนีย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวหวังว่า การเดินทางมาเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีแทนซาเนียครั้งนี้ จะนำไปสู่การเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในลักษณะหุ้นส่วนต่อไปในอนาคต--จบ--
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2541 เวลา 11.00 น. ตึกไทยคู่ฟ้า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับนายเฟรเดอริก ที. ซูมาเย ( H.E. Mr. Frederick T. Sumaye) นายกรัฐมนตรีแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย (The United Republic of Tanzania) และภริยา พร้อมด้วยคณะ ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยแบบ Working Visit ระหว่างวันที่ 15-18 ตุลาคม 2541 ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวต้อนรับ ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือข้อราชการระหว่างกัน ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า โดยมีบุคคลสำคัญฝ่ายไทยเข้าร่วมหารือได้แก่ ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายประวิช รัตนเพียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรคพล สรสุชาติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น สรุปสาระสำคัญการสนทนาได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีแทนซาเนียและคณะ โดยเห็นว่าการเดินทางมาเยือนไทยครั้งนี้ จะเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นการเยือนครั้งแรกในระดับนายกรัฐมนตรีของแทนซาเนีย รวมทั้งยังจะเป็นโอกาสอันดีในการหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนของประเทศทั้งสอง ในโอกาสนี้ นายก-รัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ในช่วงเวลา 18 ปีของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและแทนซาเนีย ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วยดีตลอดมา
ในด้านนโยบายต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมความสัมพันธ์ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างเอเชียและแอฟริกัน ซึ่งในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีแทนซาเนียจะได้เดินทางไปร่วมประชุม Tokyo International Coference on African Development (TICAD) ครั้งที่ 2 ณ กรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม 2541 ภายหลังจากการเดินทางเยือนประเทศไทยนั้น รัฐบาลไทยก็จะส่งผู้แทนคือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปเข้าร่วมประชุมด้วยเช่นกัน
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์วางระเบิดสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ณ กรุงดาร์ เอส ซาลาม เมื่อเดือนธันวาคม 2541 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลไทยได้ส่งสารแสดงความเสียใจไปยังประธานาธิบดีแห่งแทนซาเนีย และได้บริจาคเวชภณฑ์จำนวนหนึ่งให้แก่แทนซาเนียด้วยจำนวนหนึ่งนายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย ได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อไมตรีจิตและความห่วงใยของรัฐบาลไทยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ซี่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวรัฐบาลแทนซาเนียได้มีการประนามผู้ก่อการร้ายดังกล่าวอย่างรุนแรงและปรารถนาด้วยว่า ประเทศผู้รักสันติทั้งหลาย รวมทั้งประเทศไทยจะให้ความสนับสนุนการประนามดังกล่าวด้วย พร้อมทั้งให้ความเห็นว่า ขณะนี้เป็นโอกาสดีที่ประเทศทั้งสองจะก้าวสู่การเปิดความสัมพันธ์หน้าใหม่ (new chapter of relationship) ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (South-South) และกับกลุ่มประเทศแปซิฟิก (Pacific Rim Countries)
ในด้านการค้า นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า แม้ว่ามูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งสองจะมีการขยายตัวมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ยังนับว่ามูลค่าที่น้อย แต่หากประเทศทั้งสองยังมีช่องทางที่จะเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน เนื่องจาก ทั้งไทยและแทนซาเนียต่างมีประชากรจำนวนมาก (แทนซาเนีย มีมากกว่า 30 ล้านคน) และไทยมีการนำเข้าสินค้าจากแทนซาเนีย ได้แก่ เส้นใยใช้ทอผ้า สินแร่โลหะ พลอยดิบ อัญมณี ไม้ซุง และไม้แปรรูป เป็นต้น ซึ่งตลาดของไทยยังมีความต้องการสินค้าดังกล่าวอีกมาก เนื่องจากไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูป และเครื่องนุ่งห่ม พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำด้วยว่า แม้ประเทศไทยจะเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ยังมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี มีนโยบายการเปิดเสรีทางการค้า และมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น วิกฤตดังกล่าวจึงมิได้เป็นอุปสรรค แต่เป็นโอกาสในการขยายการค้าในช่วงที่ค่าเงินตกต่ำ สำหรับการค้าอัญมณี นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า ไทยได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางอัญมณีของโลก และมีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญมากขึ้น ในขณะที่แทนซาเนียมีศักยภาพด้านวัตถุดิบอัญมณี และสินแร่โลหะ ซึ่งไทยได้นำเข้าอัญมณีจากแทนซาเนียมากเป็นอันดับสาม รองจากฝ้าย และสินแร่โลหะ ทั้งสองประเทศจึงยังมีลู่ทางในการขยายความร่วมมือในด้านดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย ก็ได้กล่าวเชิญชวนให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนด้านอัญมณีในแทนซาเนียมากขึ้น เนื่องจากแทนซาเนียมีแหล่งวัตถุดิบจำนวนมาก แต่ยังขาดผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่นักธุรกิจไทยมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจดังกล่าว พร้อมกับแจ้งว่าขณะนี้แทนซาเนีย อยู่ในระหว่างการปฏิรูประบบเศรษฐกิจไปสู่ระบบตลาดเสรี และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะมีการพัฒนามากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยและแทนซาเนียจึงควรมีความส่งเสริมความร่วมมือกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีไทยให้ความเห็นว่า ปัจจุบันมีนักธุรกิจไทยจำนวนหนึ่งเข้าไปลงทุนในแทนซาเนียด้านธุรกิจอัญมณีและอื่นๆ จึงขอให้รัฐบาลแทนซาเนีย ให้ความดูแลและปกป้องผลประโยชน์นักธุรกิจไทยด้วย และเห็นว่าทุกประเทศต่างต้องการให้นักธุรกิจต่างชาติมาลงทุนในประเทศของตน แม้แต่ไทยเองก็ต้องการการลงทุนจากต่างประเทศเช่นกัน ดังนั้น หากรัฐบาลแทนซาเนีย ให้ความดูแลคุ้มครองนักธุรกิจต่างชาติเป็นอย่างดีแล้ว ย่อมจะเป็นปัจจัยดึงดูดให้นักธุรกิจไทยเดินทางไปลงทุนมากขึ้น
ในด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย ได้แสดงความสนใจที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือกับไทยในธุรกิจการท่องเที่ยว เนื่องจากไทยมีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว และรัฐบาลแทนซาเนียมีนโยบายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของตน เพราะมีพื้นที่ป่าสงวนจำนวนมากคิดเป็นหนึ่งในสี่ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ และยังมีสัตว์ป่าจำนวนมากรวมถึงภูมิประเทศทางธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสนับสนุนที่จะส่งเสริมความร่วมมือในด้านท่องเที่ยวต่อไป โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 5 ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ต้องประสบกับภาวะซบเซาทางธุรกิจท่องเที่ยว
ในด้านการเกษตรนั้น นายกรัฐมนตรีแทนซาเนียกล่าวว่า โดยที่ประเทศแทนซาเนีย มีพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกจำนวนมาก โดยเฉพาะการเพาะปลูกฝ้าย ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ปัญหาที่แทนซาเนียประสบอยู่คือ การขาดแคลนน้ำอันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งในช่วงสองปีที่ผ่านมา และยังมีความต้องการด้านความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีด้านการเกษตร โดยเฉพาะการเกษตรกรรมเกี่ยวกับการเพาะปลูกข้าว ซึ่งแทนซาเนียได้สั่งซื้อข้าวจากประเทศไทยเป็นจำนวนมากทุกปี ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรแทนซาเนีย ได้ขอให้รัฐบาลไทยช่วยพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านการวิจัย และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรเพื่อการพัฒนาด้านการเพาะปลูกและการเกษตรกรรม ซึ่งประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญด้วย เนื่องจาก รัฐบาลแทนซาเนียมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนอาหารของประเทศ จึงมีนโยบายและให้ความสำคัญกับการเตรียมการในด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เป็นอันดับแรก เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำเนินการในเรื่องอื่นๆ ต่อไป
ทั้งนี้ รัฐบาลแทนซาเนีย ยินดีต้อนรับนักลงทุนจากประเทศไทย หรือผู้ที่มีความสนใจที่จะไปลงทุนด้านการเกษตร การเพาะปลูกข้าว หรือพืชเกษตรอื่นๆ ในแทนซาเนีย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้าของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ โรงงานทอผ้าและสิ่งทอในแทนซาเนียหลายแห่ง ได้ปิดกิจการลงอันเนื่องจากปัญหาทางด้านการเงิน และได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปูลกฝ้ายจำนวนมาก ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดี สำหรับนักธุรกิจไทยที่มีความสนใจที่จะเข้าไปดำเนินกิจการต่อในโรงงานสิ่งทอของแทนซาเนีย ซึ่งมีสินค้าวัตถุดิบอันได้แก่ ฝ้ายจำนวนมาก
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวตอบว่ารัฐบาลไทยยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการและเทคโนโลยีแก่แทนซาเนียต่อไป และที่ผ่านมารัฐบาลไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือในด้านวิชาการในรูปของการให้ทุนการศึกษาและการอบรมด้านการเกษตรแก่เจ้าหน้าที่ของแทนซาเนียในประเทศไทย ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะประสบกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ แต่โดยที่ไทยมีพื้นฐานทางการเกษตรที่แข็งแกร่ง และสามารถผลิตสินค้าอาหารสำหรับบริโภคภายในประเทศ ได้พอเพียงและส่งออกไปขายยังต่างประเทศเป็นอันดับหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยาง และมันสำปะหลังเป็นต้น
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้นายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย ได้ช่วยประสานงานในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยสำหรับกรณีข้อพิพาทระหว่างบริษัทค้าข้าวเอกชนไทยรายหนึ่ง ซึ่งได้ยื่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและการชำระหนี้จากรัฐบาลแซนซิบาร์ (ซึ่งเป็นรัฐบาลที่อยู่ภายใต้การปกครองของแทนซาเนีย) ซึ่งได้ติดค้างชำระการสั่งซื้อข้าวจากไทยด้วย ในการนี้ นายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย กล่าวตอบรับที่จะไปดำเนินการเจรจาและติดตามในเรื่องดังกล่าวต่อไป และเห็นว่าหากไทยและแทนซาเนีย ได้เสริมสร้างและขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้ากันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น จะเป็นช่องทางที่ทำให้ประเทศทั้งสองทั้งในภาครัฐและเอกชน มีการติดต่อประสานงาน และร่วมมือกันเพื่อการแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ รวมถึงการได้รับทราบข้อมูลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับนักธุรกิจไทยอย่างถูกต้องต่อไป อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปกป้องคุ้มครองคนไทยในแทนซาเนียด้วย
ต่อจากนั้น ในเวลา 12.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีแทนซาเนีย พร้อมด้วยภริยา และคณะ โดยนายกรฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ในระหว่างงานเลี้ยงอาหารกลางวัน สรุปได้ดังนี้
รัฐบาลและประชาชนชาวไทยมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีแห่งแทนซาเนีย พร้อมด้วยภริยาและคณะ ซึ่งนับเป็นการเดินทางมาเยือนไทยเป็นครั้งแรกของผู้นำประเทศแทนซาเนีย ทั้งนี้ ในส่วนของการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ของสองประเทศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงเสด็จเยือนประเทศแทนซาเนียอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2537 ซึ่งนับเป็นการเยือนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ อันเปรียบเสมือนเป็นหลักไมล์ของการเพิ่มพูนและการกระชับความสัมพันธ์ของสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และนับตั้งแต่สองประเทศได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกันตั้งแต่ปี 2523 ความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมทั้งทางด้านการค้าและการลงทุนก็ได้ขยายตัวมากขึ้นเป็นลำดับทุกปี
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนาประเทศแทนซาเนีย โดยผ่านความช่วยเหลือทางวิชาการทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ และยังได้นำมาซึ่งความเข้าใจอันดีต่อกันมากขึ้นของประชาชนชาวไทยและแทนซาเนีย ในขณะนี้ แม้ว่าประเทศไทยกำลังประสบกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลจะยังคงมุ่งมั่นแสวงหาหนทางต่างๆ ในการสร้างเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ กับแทนซาเนียมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ การประชุมสัมนาส่งเสริมความสัมพันธ์เศรษฐกิจการค้าไทย-แทนซาเนีย กับภาคเอกชนของไทยในช่วงบ่ายวันนี้ (16 ตุลาคม 2541) จะเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้แสวงหาลู่ทางใหม่ๆ ในด้านการค้าและการลงทุนร่วมกัน และในโลกยุดปัจจุบัน ซึ่งเทคโนโลยีและการสื่อสารคมนาคมได้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจึงมีความปรารถนาที่จะพัฒนาและกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศต่างๆ จากทั่วทุกภูมิภาคของโลก รวมถึงประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแอฟริกา ดังเช่น แทนซาเนีย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวหวังว่า การเดินทางมาเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีแทนซาเนียครั้งนี้ จะนำไปสู่การเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในลักษณะหุ้นส่วนต่อไปในอนาคต--จบ--