ทำเนียบรัฐบาล--16 ก.ค.--บิสนิวส์
วันนี้เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายวิทย์ วิริยะประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือสหวิริยาและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าจำนวน 22 บริษัท เข้าพบพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้รัฐบาลสนับสนุนการปรับโครงสร้างอากรขาเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า พร้อมทั้งพิจารณาทบทวนลดค่ากระแสไฟฟ้าในการผลิตให้น้อยลงอย่างเร่งด่วน เพื่อการผลิตอุตสาหกรรมเหล็กจะได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาให้เป็นหนึ่งในประเทศอุตสาหกรรมตามเป้าหมายของรัฐบาล
กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กได้กล่าวถึงปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อนโยบายของรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันกำลังประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย จนไม่สามารถพัฒนาต่อไปให้ถึงขั้นครบวงจรตามเป้าหมายของรัฐบาลได้ เนื่องจากโครงสร้างอากรขาเข้าสำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้ามีความไม่เหมาะสม ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้าจากต่างประเทศถึงปีละกว่า 12 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 240,000 ล้านบาท แต่ถ้าประเทศไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กแบบครบวงจรได้ภายในปี 2550 จะสามารถช่วยการขาดดุลการค้าได้ถึงปีละกว่า 150,000 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กจึงขอให้รัฐบาลช่วยบรรเทาความเดือนร้อนด้วยการพิจารณาปรับโครงสร้างอากรขาเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว พร้อมทั้งเร่งพิจารณาทบทวนลดจำนวนค่ากระแสไฟฟ้าในการผลิตให้ต่ำลงเพื่อลดต้นทุนและสามารถผลิตเหล็กได้อย่างต่อเนื่องด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะหารือกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง จะได้พัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กให้เป็นหนึ่งในประเทศอุตสาหกรรมตามเป้าหมายของรัฐบาล--จบ--
วันนี้เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายวิทย์ วิริยะประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือสหวิริยาและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าจำนวน 22 บริษัท เข้าพบพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้รัฐบาลสนับสนุนการปรับโครงสร้างอากรขาเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า พร้อมทั้งพิจารณาทบทวนลดค่ากระแสไฟฟ้าในการผลิตให้น้อยลงอย่างเร่งด่วน เพื่อการผลิตอุตสาหกรรมเหล็กจะได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาให้เป็นหนึ่งในประเทศอุตสาหกรรมตามเป้าหมายของรัฐบาล
กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กได้กล่าวถึงปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อนโยบายของรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันกำลังประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย จนไม่สามารถพัฒนาต่อไปให้ถึงขั้นครบวงจรตามเป้าหมายของรัฐบาลได้ เนื่องจากโครงสร้างอากรขาเข้าสำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้ามีความไม่เหมาะสม ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้าจากต่างประเทศถึงปีละกว่า 12 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 240,000 ล้านบาท แต่ถ้าประเทศไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กแบบครบวงจรได้ภายในปี 2550 จะสามารถช่วยการขาดดุลการค้าได้ถึงปีละกว่า 150,000 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กจึงขอให้รัฐบาลช่วยบรรเทาความเดือนร้อนด้วยการพิจารณาปรับโครงสร้างอากรขาเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว พร้อมทั้งเร่งพิจารณาทบทวนลดจำนวนค่ากระแสไฟฟ้าในการผลิตให้ต่ำลงเพื่อลดต้นทุนและสามารถผลิตเหล็กได้อย่างต่อเนื่องด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะหารือกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง จะได้พัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กให้เป็นหนึ่งในประเทศอุตสาหกรรมตามเป้าหมายของรัฐบาล--จบ--