ทำเนียบรัฐบาล--10 มี.ค.--บิสนิวส์
วันนี้ (5 มี.ค. 41) เมื่อเวลา 09.20 น. ณ ห้องประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ นายชวน หลีกภัย ได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อเรื่อง ผลกระทบทางสังคมอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการตอบสนองจากประเทศไทย : ประเด็นปัญหาใหม่ทางสังคม (Social Impacts of the Economic Crisis and Responses from the Government, Private Sector, Civil Society and International Community) สรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเซียตะวันออก (East Asia) และได้ส่งผลต่อสังคมและประชาชนโดยทั่วไป การประชุมปรึกษาหารือในวันนี้ จะเป็นโอกาสอันดีของไทยที่จะได้ร่วมแสวงหาหนทางร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อการเยียวยาและบรรเทาปัญหาทางสังคมอันเนื่องจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว และย้ำว่าปัญหาทางสังคมจะต้องได้รับความเอาใจใส่และได้รับการแก้ไขอย่างเท่าเทียมเช่นเดียวกับปัญหาทางเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในช่วงของการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา แม้ว่าการเติบโตและความสำเร็จในการพัฒนา จะนำมาซึ่งความกินดีอยู่ดี และรายได้ที่มากขึ้นของประชาชน แต่ก็ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมเช่นกัน ช่องว่างของรายได้ที่กว้างขึ้นระหว่างคนรวยและคนจน รวมถึงการหลั่งไหลเข้าเมืองของคนในชนบทและการขยายตัวของสังคมเมืองอย่างรวดเร็ว
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาทางสังคมดังกล่าวและก่อให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นด้วย ปัญหาสังคมที่เด่นชัดที่สุดในขณะนี้คือ การเพิ่มขึ้นของการว่างงาน การถูกเลิกจ้าง และรายได้ที่ลดน้อยลง ทั้งนี้ได้มีการคาดหมายว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีผู้ว่างงานทั้งสิ้นในประเทศประมาณ 1.5-2 ล้านคน รัฐบาลจึงได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนโดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อการแก้ไขปัญหาการว่างงานนี้แล้ว โดยจะเน้นการให้การฝึกอบรมอาชีพ และการสร้างงานใหม่ให้แก่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างรวมถึงการจัดเตรียมในเรื่องที่ดิน สินเชื่อ การตลาด และเทคโนโลยีวิชาการแก่แรงงานเหล่านั้น ทั้งนี้ ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ยังให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องช่องว่างของรายได้ด้วยเช่นกัน
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการให้การบริการด้านสังคมโดยเฉพาะด้านการศึกษาว่าในส่วนของสาธารณสุขและด้านการศึกษา นับได้ว่ามีแรงกดดันมาก เพราะไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่ทั้งที่เป็นผู้หญิงและผู้ชาย เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่ยังรวมถึงเด็ก ๆ อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีว่ากล่าวย้ำว่า แม้รัฐบาลจะมีมาตรการประหยัดและได้ตัดงบประมาณลง แต่งบด้านการสาธารณสุขและการศึกษานั้น รัฐบาลจะพยายามไม่ให้เกิดผลกระทบมากที่สุดเท่าที่จำเป็นไปได้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องพยายามลดความสูญเสียให้น้อยลง และรวมถึงการปราบปรามการคอรัปชั่นด้วย นอกจากนี้กลุ่มบุคคลที่รัฐยังมีความเป็นห่วงด้วย คือ ผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาจากสมาชิกในครอบครัว ทั้งนี้ ในส่วนของเด็กนักเรียนทั่วประเทศนั้น ก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์เช่นกัน เพราะผู้ปกครองต้องประสบกับการสูญเสียรายได้อย่างกระทันหัน ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่รัฐบาลมีความห่วงใยอย่างยิ่ง จึงได้มีการจัดตั้งกองทุนพิเศษขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่ประสบปัญหาดังกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤตการณ์ดังกล่าว การเติบโตของประเทศในอนาคตจะเป็นไปไม่ได้เลย หากปราศจากการปรับโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจมหภาค และการปฎิรูปสถาบันต่าง ๆ ในเวลาปัจจุบันนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลจะต้องพยายามแก้ไขปัญหาพื้นฐานดังกล่าว เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาอย่างสมดุลย์ (balanced development) โดยเน้นถึงปัญหาทางสังคมเท่า ๆ กับปัญหาทางเศรษฐกิจ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ได้ให้ประสบการณ์และบทเรียนที่มีค่าและเจ็บปวด (valuable and painful lessons) แก่ประเทศไทย ทั้งรัฐบาลและประชาชนจะต้องมีการทบทวนตัวเองไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจแต่รวมถึงด้านเศรษฐกิจด้วย และหัวใจสำคัญที่สุดของประเด็นทางสังคม ก็คือ ประชากรเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด และเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาของประเทศในอนาคต ดังนั้น เราจึงต้องมีการลงทุนในเรื่องของประชากร และการสร้างโอกาสให้กับประชากรเพื่อให้สามารถที่จะทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติในอนาคต แนวคิดสำคัญเรื่อง "การพัฒนาที่มีประชากรเป็นหัวใจสำคัญ" (people-centred development) ได้ปรากฎอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 และก่อนหน้าที่จะมีการจัดทำแผนฯ 8 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงได้เคยพระราชทานคำแนะนำและทรงแสดงให้เห็นหลายครั้ง ถึงหนทางต่าง ๆ ในการที่จะพัฒนาคน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงจุดที่เข้มแข็งของสังคมไทยว่า นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีของสังคมไทยที่เรามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีความห่วงใยร่วมกัน ในภาวะที่เกิดวิกฤตการณ์ ดังเช่น การแสดงออกของคนไทยในโครงการไทยช่วยไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีภาคเกษตรกรรมที่เข้มแข็ง และยังสามารถส่งออกข้าวและยางพาราได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกด้วย ภาคเกษตรของไทย จึงเป็นแหล่งอาหารที่มีอยู่อย่างเพียงพอ เป็นแหล่งทรัพยากรของการค้าระหว่างประเทศ และยังช่วยดูดซับแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมและการผลิตต่าง ๆ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง ทั้งนี้ประเด็นปัญหาทางสังคม ยังควรจะต้องมีการกล่าวถึง การมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย โดยสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อต้องการให้มีอำนาจและการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งที่สามารถดูแลรับผิดชอบได้ รวมถึง จะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการบริหารการจัดการที่ดี (Good Governance) ได้พร้อม ๆ กับการกระจายอำนาจของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนสามารถตอบสนองและให้การสนับสนุนในข้อริเริ่มต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ หากสามารถก่อให้เกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะนำไปสู่การมีรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง (representative) และมีความโปร่งใส (transparent) มีความรับผิดชอบต่อประชาชน (accountable) นอกจากนี้ การสร้างบรรยากาศในการดำเนินกิจการทางธุรกิจที่มีมาตรฐาน ยังจะเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะให้หลักประกันถึงการเติบโตของสังคมที่มีความมั่นคง รุ่งเรือง และมีความเท่าเทียมด้วย--จบ--
วันนี้ (5 มี.ค. 41) เมื่อเวลา 09.20 น. ณ ห้องประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ นายชวน หลีกภัย ได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อเรื่อง ผลกระทบทางสังคมอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการตอบสนองจากประเทศไทย : ประเด็นปัญหาใหม่ทางสังคม (Social Impacts of the Economic Crisis and Responses from the Government, Private Sector, Civil Society and International Community) สรุปได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเซียตะวันออก (East Asia) และได้ส่งผลต่อสังคมและประชาชนโดยทั่วไป การประชุมปรึกษาหารือในวันนี้ จะเป็นโอกาสอันดีของไทยที่จะได้ร่วมแสวงหาหนทางร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อการเยียวยาและบรรเทาปัญหาทางสังคมอันเนื่องจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว และย้ำว่าปัญหาทางสังคมจะต้องได้รับความเอาใจใส่และได้รับการแก้ไขอย่างเท่าเทียมเช่นเดียวกับปัญหาทางเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในช่วงของการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา แม้ว่าการเติบโตและความสำเร็จในการพัฒนา จะนำมาซึ่งความกินดีอยู่ดี และรายได้ที่มากขึ้นของประชาชน แต่ก็ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมเช่นกัน ช่องว่างของรายได้ที่กว้างขึ้นระหว่างคนรวยและคนจน รวมถึงการหลั่งไหลเข้าเมืองของคนในชนบทและการขยายตัวของสังคมเมืองอย่างรวดเร็ว
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาทางสังคมดังกล่าวและก่อให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นด้วย ปัญหาสังคมที่เด่นชัดที่สุดในขณะนี้คือ การเพิ่มขึ้นของการว่างงาน การถูกเลิกจ้าง และรายได้ที่ลดน้อยลง ทั้งนี้ได้มีการคาดหมายว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีผู้ว่างงานทั้งสิ้นในประเทศประมาณ 1.5-2 ล้านคน รัฐบาลจึงได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนโดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อการแก้ไขปัญหาการว่างงานนี้แล้ว โดยจะเน้นการให้การฝึกอบรมอาชีพ และการสร้างงานใหม่ให้แก่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างรวมถึงการจัดเตรียมในเรื่องที่ดิน สินเชื่อ การตลาด และเทคโนโลยีวิชาการแก่แรงงานเหล่านั้น ทั้งนี้ ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ยังให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องช่องว่างของรายได้ด้วยเช่นกัน
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการให้การบริการด้านสังคมโดยเฉพาะด้านการศึกษาว่าในส่วนของสาธารณสุขและด้านการศึกษา นับได้ว่ามีแรงกดดันมาก เพราะไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่ทั้งที่เป็นผู้หญิงและผู้ชาย เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่ยังรวมถึงเด็ก ๆ อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีว่ากล่าวย้ำว่า แม้รัฐบาลจะมีมาตรการประหยัดและได้ตัดงบประมาณลง แต่งบด้านการสาธารณสุขและการศึกษานั้น รัฐบาลจะพยายามไม่ให้เกิดผลกระทบมากที่สุดเท่าที่จำเป็นไปได้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องพยายามลดความสูญเสียให้น้อยลง และรวมถึงการปราบปรามการคอรัปชั่นด้วย นอกจากนี้กลุ่มบุคคลที่รัฐยังมีความเป็นห่วงด้วย คือ ผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาจากสมาชิกในครอบครัว ทั้งนี้ ในส่วนของเด็กนักเรียนทั่วประเทศนั้น ก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์เช่นกัน เพราะผู้ปกครองต้องประสบกับการสูญเสียรายได้อย่างกระทันหัน ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่รัฐบาลมีความห่วงใยอย่างยิ่ง จึงได้มีการจัดตั้งกองทุนพิเศษขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่ประสบปัญหาดังกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤตการณ์ดังกล่าว การเติบโตของประเทศในอนาคตจะเป็นไปไม่ได้เลย หากปราศจากการปรับโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจมหภาค และการปฎิรูปสถาบันต่าง ๆ ในเวลาปัจจุบันนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลจะต้องพยายามแก้ไขปัญหาพื้นฐานดังกล่าว เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาอย่างสมดุลย์ (balanced development) โดยเน้นถึงปัญหาทางสังคมเท่า ๆ กับปัญหาทางเศรษฐกิจ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ได้ให้ประสบการณ์และบทเรียนที่มีค่าและเจ็บปวด (valuable and painful lessons) แก่ประเทศไทย ทั้งรัฐบาลและประชาชนจะต้องมีการทบทวนตัวเองไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจแต่รวมถึงด้านเศรษฐกิจด้วย และหัวใจสำคัญที่สุดของประเด็นทางสังคม ก็คือ ประชากรเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด และเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาของประเทศในอนาคต ดังนั้น เราจึงต้องมีการลงทุนในเรื่องของประชากร และการสร้างโอกาสให้กับประชากรเพื่อให้สามารถที่จะทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติในอนาคต แนวคิดสำคัญเรื่อง "การพัฒนาที่มีประชากรเป็นหัวใจสำคัญ" (people-centred development) ได้ปรากฎอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 และก่อนหน้าที่จะมีการจัดทำแผนฯ 8 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงได้เคยพระราชทานคำแนะนำและทรงแสดงให้เห็นหลายครั้ง ถึงหนทางต่าง ๆ ในการที่จะพัฒนาคน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงจุดที่เข้มแข็งของสังคมไทยว่า นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีของสังคมไทยที่เรามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและมีความห่วงใยร่วมกัน ในภาวะที่เกิดวิกฤตการณ์ ดังเช่น การแสดงออกของคนไทยในโครงการไทยช่วยไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีภาคเกษตรกรรมที่เข้มแข็ง และยังสามารถส่งออกข้าวและยางพาราได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกด้วย ภาคเกษตรของไทย จึงเป็นแหล่งอาหารที่มีอยู่อย่างเพียงพอ เป็นแหล่งทรัพยากรของการค้าระหว่างประเทศ และยังช่วยดูดซับแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมและการผลิตต่าง ๆ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง ทั้งนี้ประเด็นปัญหาทางสังคม ยังควรจะต้องมีการกล่าวถึง การมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย โดยสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อต้องการให้มีอำนาจและการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งที่สามารถดูแลรับผิดชอบได้ รวมถึง จะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการบริหารการจัดการที่ดี (Good Governance) ได้พร้อม ๆ กับการกระจายอำนาจของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนสามารถตอบสนองและให้การสนับสนุนในข้อริเริ่มต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ หากสามารถก่อให้เกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะนำไปสู่การมีรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง (representative) และมีความโปร่งใส (transparent) มีความรับผิดชอบต่อประชาชน (accountable) นอกจากนี้ การสร้างบรรยากาศในการดำเนินกิจการทางธุรกิจที่มีมาตรฐาน ยังจะเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะให้หลักประกันถึงการเติบโตของสังคมที่มีความมั่นคง รุ่งเรือง และมีความเท่าเทียมด้วย--จบ--