ทำเนียบรัฐบาล--9 ต.ค.--บิสนิวส์
เรื่อง คำชี้แจงการปรับปรุงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้มีการปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2540 นี้ กระทรวงการคลังได้เสนอข้อมูลชี้แจงต่อประชาชนเพื่อให้ทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีครั้งนี้ โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
- สาเหตุที่ต้องมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จากอัตราร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10
เนื่องจากในปัจจุบันประเทศกำลังประสบปัญหาเสถียรภาพทางการเงิน มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในอัตราร้อยละ 8 ของ GDP ซึ่งหมายความว่าในปัจจุบันมีการใช้จ่ายเกินตัวถึงประมาณปีละ 4 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหามาตรการในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีอยู่ 2 มาตรการ คือ
1. การตัดลดงบประมาณรายจ่าย โดยคาดว่าจะมีการตัดทอนงบประมาณรายจ่ายในปี 2541 ลงเป็นจำนวนประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ การที่ไม่ปรับลดมากกว่านี้ เพราะอาจจะกระทบต่อโครงการทางด้านพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และอาจกระทบถึงอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และอาจกระทบถึงอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจมีผลเสียมากกว่าผลดี ถ้าเราตัดงบประมาณเกินสมควร
2. การปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษี ซึ่งจากการพิจารณาเห็นว่า ควรมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น เพื่อให้เป็นการลดการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งยังจะทำให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น ทั้งนี้สรรพสามิตก็คงจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี เห็นว่าการปรับเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 คงจะไม่เป็นภาระต่อผู้บริโภคมากเกินไปนัก เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษีในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว อัตราภาษีร้อยละ 10 ของไทยยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
- ถ้ากำหนดให้มีการตัดลดงบประมาณ โดยไม่มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำให้เกิดงบประมาณสมดุลได้หรือไม่
รัฐบาลและ IMF ได้มีการร่วมพิจารณากันแล้ว เห็นว่าควรให้มีการจัดทำงบประมาณในลักษณะเกินดุลประมาณอัตราร้อยละ 1 ของ GDP (5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งการตัดงบประมาณเพียงอย่างเดียวคงจะไม่สามารถทำให้งบประมาณเกินดุลได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคาดหวังว่าคงจะทำให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้ การที่ไม่ปรับเพิ่มภาษีในส่วนของกรมศุลกากร เนื่องจากจะขัดกับกฎของ GATT และ WTO และถึงแม้จะมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต ก็จะได้เงินภาษีไม่มาก จึงคงจะไม่มีผลกระทบต่องบประมาณมากนัก
- การปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับ IMF คือ ส่วนหนึ่งเป็นข้อเสนอของ IMF ในการที่จะเข้ามาช่วยประเทศไทยแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ โดยเห็นว่าหากมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จะส่งผลดีทำให้
1. ประชาชนมีการใช้จ่ายน้อยลง อันเป็นทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และยังเป็นการส่งเสริมการออมของประชาชนด้วย
2. สร้างความเชื่อมั่นแก่ต่างประเทศว่าประเทศไทยได้มีการแก้ไขปัยหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งคงจะทำให้ภาวะการลงทุนจากต่างประเทศดีขึ้น
- การกำหนดให้วันที่ 16 เป็นวันที่ใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราใหม่ เนื่องจากได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าการประกาศขึ้นภาษีก่อนที่จะมีการดำเนินการนานเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาการกักตุนสินค้า และอาจมีการขึ้นราคาสินค้า 2 ช่วง คือ ในช่วงการประกาศขึ้นภาษี และช่วงการขึ้นภาษีจริง
- มาตรการในการแก้ไขปัญหาการกักตุนสินค้าจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในทางทฤษฏีการกักตุนโดยการซื้อสินค้าเข้ามาจะไม่ได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะซื้อเข้ามาในอัตราเท่าใดก็สามารถขอคืนภาษีได้เท่านั้น ส่วนในการขายภาษีขายที่เกิดขึ้นก็เป็นการเรียกเก็บจากผู้บริโภค แต่กรณีการกักตุนสินค้าอาจจะเป็นไปได้ในกรณีของผู้ประกอบการที่จะได้รับยกเว้นภาษีหรือไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากขอคืนไม่ได้จึงต้องรีบโอนขายกันก่อนเพื่อเสียภาษีในอัตราร้อยละ 7 แทนการเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10 ซึ่งจะทำให้ได้รับต้นทุนทางภาษีที่ถูกกว่า อย่างไรก็ดี ในกรณีนี้คงจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจาก
1. อัตราภาษีปรับขึ้นเพียง 3% อาจไม่คุ้มค่าดอกเบี้ยของผู้กักตุน และถ้าคำนวณจริง ๆ แล้ว สินค้าควรจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเพียงร้อยละ 2.8
2. ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัว สินค้าขายได้ยาก ไม่เหมาะที่จะกักตุนสินค้า
3. เศรษฐกิจในช่วงนี้นับว่าเป็นเศรษฐกิจในช่วงซบเซาการขึ้นราคาสินค้าจึงกระทำได้ยาก เพราะประชาชนไม่มีเงินออมมากพอที่จะมาซื้อสินค้าที่แพงขึ้น ยกเว้นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ถูกเรียกเก็บ จึงไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด
- การปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีผลกระทบต่อราคาสินค้า ดังนี้
1. สินค้าจำเป็นต่อการครองชีพ ส่วนใหญ่จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น พืชผลทางการเกษตร เนื้อสัตว์ หนังสือ กิจการขนส่งในประเทศ โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น ดังนั้นจึงมีผลกระทบค่อนข้างน้อย
2. สินค้าทั่วไปและสินค้าฟุ่มเฟือย เนื่องจากในปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว การปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้นอีก 3% อาจจะทำให้สินค้าขายได้ยาก ดังนั้น จึงคาดว่าผู้ประกอบการคงจะไม่ขึ้นราคาสินค้าสูงขึ้นมาก รวมทั้งยังอาจจะรับภาระไว้เองส่วนหนึ่งด้วย
- สินค้าที่ไม่น่าจะมีผลกระทบจากการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ สินค้าที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น
พืชผลทางการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวสาร ข้าวเปลือก ฯลฯ (ที่ยังไม่แปรสภาพ)
การขายสัตว์ เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไข่ ฯลฯ (ที่ยังไม่แปรสภาพ) น้ำผึ้ง น้ำนมสดที่ไม่ปรุงแต่ง (นมจืด)
การขายปุ๋ย
การขายปลาป่น อาหารสัตว์
การขายยา หรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์
การขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียนทุกชนิด เป็นต้น
- กรณีการประกอบการที่มีข้อผูกพันระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ซื้อ หรือผู้รับบริการอยู่ก่อนวันที่กฎหมายกำหนดให้ใช้บังคับ ซึ่งจะได้รับสิทธิให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเดิม กรมสรรพากรได้มีการออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 เพื่อเป็นการบรรเทาภาระดังรายการต่อไปนี้
1. การขายสินค้าหรือการให้บริการกับกระทรวง ทบวง กรม หรือราชการส่วนท้องถิ่นที่มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้มีการทำสัญญา ก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540
2. การขายสินค้าตามสัญญาให้เช่าซื้อ หรือสัญญาซื้อขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อได้ส่งมอบโดยได้มีการทำสัญญาและมีการผ่อนชำระตามสัญญานั้นแล้วก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540
3. การให้บริการตามสัญญาที่มีข้อกำหนดให้ชำระค่าตอบแทนตามส่วนของบริการที่ทำ โดยมีการทำสัญญา และได้มีการชำระค่าบริการตามส่วนของบริการที่ทำหรือได้มีการชำระค่าบริการบางส่วนแล้วก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540
4. การขายสินค้าประเภทกระแสไฟฟ้า น้ำประปา หรือการให้บริการโทรศัพท์ วิทยุติดตามตัว เฉพาะที่ได้มีการขายหรือให้บริการก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540 ทั้งนี้ ไม่ว่าจะได้ออกใบแจ้งหนี้ก่อนหรือหลังวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540
โดยการได้รับสิทธิดังกล่าว ผู้ประกอบการจะต้องยื่นคำขอใช้สิทธิตามแบบที่อธิบดีกำหนด ภายในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2540 เพื่อขอรับสิทธิจนกว่าสัญญาจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2542
- แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการยื่นแบบชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
แบบฯ ภ.พ.30 ที่ใช้ในช่วงการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีภาระภาษีจากการคำนวณเป็น 2 อัตรา (ร้อยละ 7 ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม และร้อยละ 10 ช่วงวันที่ 16-31 สิงหาคม พ.ศ.2540) ดังนั้น จึงได้กำหนดให้มีการยื่นแบบฯ ภ.พ.30 ตามปกติ และได้กำหนดให้มีการกรอกรายละเอียดวิธีการคำนวนตามใบแนบเพื่อยื่นประกอบแบบ ภ.พ.30 ด้วย
เรื่อง มาตรการประหยัดในภาครัฐ
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 สิงหาคม 2540 ในเรื่องของมาตรการประหยัดในภาครัฐรัฐบาลได้มีนโยบายดำเนินการเร่งรัดฟื้นฟูแก้ไขเศรษฐกิจที่มีปัญหา โดยการปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นในภาครัฐเพื่อประหยัดงบประมาณซึ่งมาตรการสำคัญ ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่
1. การระงับการส่งข้าราชการ ลูกจ้าง กรรมการและพนักงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่นไปประชุม ฝึกอบรม สัมมนา หรือดูงานในต่างประเทศชั่วคราวในปีงบประมาณ พ.ศ.2540 เว้นแต่ในกรณีที่มีความจำเป็นก็ให้เสนอขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นกรณี ๆ ไป
2. การกำหนดให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ระงับการจัดประชุม ฝึกอบรม หรือสัมมนาในช่วงระเวลาที่เหลือจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2540 เว้นแต่ในกรณีที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ก็ให้เสนอขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นกรณี ๆ ไป
3. นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มุ่งเน้นการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง โดยให้ส่วนราชการเข้มงวดการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2540 การปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2540 การปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2540 โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยอดงบประมาณรายจ่ายให้เหมาะสมกับความจำเป็น การปรับลด/ชะลอการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2540 ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการพิจารณาปรับลดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2540 อีกด้วย นั้น
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาว่า เพื่อให้การประหยัดในภาครัฐได้รับผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์ และก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวม อันจะเป็นแบบอย่างสำหรับการประหยัดในภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป จึงมีมติเห็นชอบมาตรการประหยัดในภาครัฐเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งต้องมุ่นเน้นการประหยัดอดออม ดังนี้
1. ให้งดพิธีการทุกชนิดของทางราชการที่ฟุ่มเฟือย ยกเว้น ราชพิธี รัฐพิธี หรือพิธีการบางเรื่องที่จำเป็น
2. ห้ามข้าราชการ ลูกจ้าง กรรมการและพนักงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่นเชิญแขกทั่วไปมาเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด หรือเลี้ยงรับ เลี้ยงส่ง ฉลองยศ หรือตำแหน่ง ขึ้นบ้านใหม่ ครบรอบแต่งงาน หรืองานอื่นใดนอกจากที่ระบุไว้ดังกล่าวซึ่งเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
3. ให้หน่วยงานของรัฐงดการเลี้ยงรับรอง เลี้ยงฉลอง หรือเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติที่อาศัยชื่อหน่วยหรือชื่อตำแหน่งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจัดทำขึ้นไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่สำหรับประมุขของชาติหรือแขกของรัฐบาล หรือชาวต่างประเทศที่เกี่ยวข้องในการทำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย หรืองานอันเป็นทางปฏิบัติที่นิยมกันในทางการทูต แต่ให้ทำโดยประหยัด
ทั้งนี้ ให้ยกเว้นกรณีกิจการใดที่จะก่อให้เกิดรายได้และผลประโยชน์ของประเทศ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวฯ การสนับสนุนอุตสาหกรรมการส่งออก เป็นต้น
4. ให้หน่วยงานของรัฐ รณรงค์ประหยัดการใช้วัสดุ อุปกรณ์ ไฟฟ้า น้ำประปา และโทรศัพท์ให้มากที่สุด สำหรับการจัดพิมพ์เอกสารรายงาน ผลงาน หรือเอกสารใด ๆ ให้จัดทำเฉพาะเท่าที่จำเป็นและต้องใช้ประโยชน์เท่านั้น
5. การเรี่ยไรในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อจัดกิจกรรมใด ๆ ที่หน่วยงานของรัฐที่กำหนดขึ้น ให้งดเว้นโดยเด็ดขาดเว้นแต่เป็นกิจกรรมการกุศล เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า
6. ให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ยึดถือนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2527 เรื่อง นโยบาย 4 ประการ อันประกอบด้วย การประหยัด การนิยมไทย วินัยของชาติ และความสะอาดของบ้านเมือง และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2540 เรื่อง แนวทางการรณรงค์ ไทยช่วยไทย กินของไทย ใช้ของไทย เที่ยวเมืองไทย ร่วมใจประหยัด โดยให้ความสนใจถือปฏิบัติอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศ
7. ให้ข้าราชการการเมืองถือปฏิบัติเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติตามมาตรการประหยัดในภาครัฐดังกล่าว
เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบเกี่ยวกับการจ้างงานจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2540 คณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจได้รับทราบรายงานความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนจากหน่วยงานต่าง ๆ ในส่วนของกระทรวงแรงงานสวัสดิการสังคม ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบ สรุปได้ดังนี้
การดำเนินการเกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงาน
(1) สถานการณ์การเลิกจ้าง
1) ในปี 2539 มีคนงานถูกเลิกจ้าง 5,008 คน
2) ในปี 2540
- ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 1 กรกฎาคม 2540 มีคนงานถูกเลิกจ้าง 6,204 คน
- หลังการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 จนถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2540 มีคนงานถูกเลิกจ้าง 1,403 คน แยกเป็นชาย 767 คน หญิง 636 คน
(2) การดำเนินการของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว
1) การเฝ้าระวังการแก้ปัญหาฉับพลัน
- กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้มีการจัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างการว่างงาน" โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นกรรมการ ทำหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ในภาพรวมของประเทศ และระดมทรัพยากรเพื่อระงับยับยั้งปัญหาการเลิกจ้าง
- มีหนังสือขอความร่วมมือจังหวัดต่าง ๆ ให้จัดตั้ง "คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างการว่างงาน" โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน เป็นหน่วยปฏิบัติการเชิงรุก เพื่อยับยั้งปัญหาให้ยุติได้อย่างเบ็ดเสร็จในพื้นที่
- จัดตั้งคณะทำงานขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างและการว่างงาน โดยมีภารกิจติดตามข้อมูลการเลิกจ้าง และเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเงินทุนประกอบอาชีพและการสงเคราะห์อื่น ๆ
- กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้เร่งรัดดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง โดยดำเนินการให้ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายคือ ค่าชดเชยจำนวน 30 วัน ของอัตราค่าจ้างสุดท้ายสำหรับลูกจ้างที่ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี ค่าชดเชย 60 วัน สำหรับผู้ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี และ 90 วัน สำหรับผู้ทำงานครบ 3 ปีขึ้นไป นอกจากนี้กรณีที่นายจ้างนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงาน นายจ้างมีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยเพิ่มพิเศษสำหรับลูกจ้างที่ทำงานเกิน 6 ปีขึ้นไป โดยจ่ายเพิ่มอีกปีละ 15 วัน (เฉพาะปีที่เกิน 6 ปี)
- สำหรับมาตรการในการดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีพนักงานบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ จำนวน 58 แห่งที่อาจถูกเลิกจ้างนั้น กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้กำหนดแนวทางในการดำเนินการไว้ ดังนี้
1) นัดหมายและจัดให้มีการพบปะหารือระหว่างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ กับตัวแทนสมาคมธนาคารไทย สมาคมบริษัทเงินทุน สมาคมหลักทรัพย์ TDRI และกลุ่มนักวิชาการเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งเสนอข้อเสนอแนะและความต้องการเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหาฯ
2) จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้น เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง/ข้อมูลประวัติบุคคลของพนักงานในสถาบันการเงินทั้ง 58 แห่ง ที่อาจถูกเลิกจ้างและจะประสานติดต่อกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการแรงงานเตรียมไว้รองรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างให้มีงานทำได้ พร้อมกันนั้นก็จะจัดทำข้อมูลตำแหน่งงานว่างให้ทันสมัยตลอดเวลา
3) จัดหาแหล่งเงินทุนกู้ยืมในรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่พนักงานที่ถูกเลิกจ้างกู้ยืมไปประกอบอาชีพส่วนตัว
- การบรรจุงานใหม่ให้แก่ลูกจ้าง จากการรวบรวมตำแหน่งงานว่างในภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมจากหนังสือพิมพ์ 11 ฉบับ ซึ่งมีประมาณ 7,000 กว่าตำแหน่ง และมีตำแหน่งงานว่างสะสมจากเดือนมิถุนายน 40,000 กว่าตำแหน่ง จึงคาดว่าจะมีตำแหน่งงานว่างสะสมมาจากเดือนสิงหาคม ไม่ต่ำกว่า 30,000 ตำแหน่ง
- การพัฒนาผีมือแรงงานให้แก่ผู้ถูกเลิกจ้างเพื่อเพิ่มทักษะฝีมือแรงงานและสร้างโอกาสในการหางานทำใหม่ โดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้จัดทำโครงการพัฒนาฝีมือแรงงานให้กับผู้ถูกเลิกจ้างซึ่งดำเนินการในพื้นที่รับผิดชอบการพัฒนาฝีมือแรงงานของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานกลาง (กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และปทุมธานี) ชลบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานวัดธาตุทอง นนทบุรี สระบุรี และฉะเชิงเทรา โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาฝีมือแรงงานลูกจ้าง 50,000 คน ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว และสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้แก่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจำนวน 3.9 ล้านบาท เพื่อใช้ในการฝึกอาชีพให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง
การดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพคนงาน
กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้จัดทำโครงการจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพให้แก่ผู้ใช้แรงงาน เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อน โดยขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ในการจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ เพื่อให้สหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน สภาองค์การลูกจ้าง และสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกจ้างและสมาชิกในราคาถูก ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการแล้ว ในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และนิคมอุตสาหกรรมบางพลี--จบ--
เรื่อง คำชี้แจงการปรับปรุงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้มีการปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2540 นี้ กระทรวงการคลังได้เสนอข้อมูลชี้แจงต่อประชาชนเพื่อให้ทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีครั้งนี้ โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
- สาเหตุที่ต้องมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จากอัตราร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10
เนื่องจากในปัจจุบันประเทศกำลังประสบปัญหาเสถียรภาพทางการเงิน มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในอัตราร้อยละ 8 ของ GDP ซึ่งหมายความว่าในปัจจุบันมีการใช้จ่ายเกินตัวถึงประมาณปีละ 4 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหามาตรการในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีอยู่ 2 มาตรการ คือ
1. การตัดลดงบประมาณรายจ่าย โดยคาดว่าจะมีการตัดทอนงบประมาณรายจ่ายในปี 2541 ลงเป็นจำนวนประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ การที่ไม่ปรับลดมากกว่านี้ เพราะอาจจะกระทบต่อโครงการทางด้านพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และอาจกระทบถึงอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และอาจกระทบถึงอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจมีผลเสียมากกว่าผลดี ถ้าเราตัดงบประมาณเกินสมควร
2. การปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษี ซึ่งจากการพิจารณาเห็นว่า ควรมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น เพื่อให้เป็นการลดการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งยังจะทำให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น ทั้งนี้สรรพสามิตก็คงจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี เห็นว่าการปรับเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 คงจะไม่เป็นภาระต่อผู้บริโภคมากเกินไปนัก เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษีในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว อัตราภาษีร้อยละ 10 ของไทยยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
- ถ้ากำหนดให้มีการตัดลดงบประมาณ โดยไม่มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำให้เกิดงบประมาณสมดุลได้หรือไม่
รัฐบาลและ IMF ได้มีการร่วมพิจารณากันแล้ว เห็นว่าควรให้มีการจัดทำงบประมาณในลักษณะเกินดุลประมาณอัตราร้อยละ 1 ของ GDP (5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งการตัดงบประมาณเพียงอย่างเดียวคงจะไม่สามารถทำให้งบประมาณเกินดุลได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคาดหวังว่าคงจะทำให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้ การที่ไม่ปรับเพิ่มภาษีในส่วนของกรมศุลกากร เนื่องจากจะขัดกับกฎของ GATT และ WTO และถึงแม้จะมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต ก็จะได้เงินภาษีไม่มาก จึงคงจะไม่มีผลกระทบต่องบประมาณมากนัก
- การปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับ IMF คือ ส่วนหนึ่งเป็นข้อเสนอของ IMF ในการที่จะเข้ามาช่วยประเทศไทยแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ โดยเห็นว่าหากมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จะส่งผลดีทำให้
1. ประชาชนมีการใช้จ่ายน้อยลง อันเป็นทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และยังเป็นการส่งเสริมการออมของประชาชนด้วย
2. สร้างความเชื่อมั่นแก่ต่างประเทศว่าประเทศไทยได้มีการแก้ไขปัยหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งคงจะทำให้ภาวะการลงทุนจากต่างประเทศดีขึ้น
- การกำหนดให้วันที่ 16 เป็นวันที่ใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราใหม่ เนื่องจากได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าการประกาศขึ้นภาษีก่อนที่จะมีการดำเนินการนานเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาการกักตุนสินค้า และอาจมีการขึ้นราคาสินค้า 2 ช่วง คือ ในช่วงการประกาศขึ้นภาษี และช่วงการขึ้นภาษีจริง
- มาตรการในการแก้ไขปัญหาการกักตุนสินค้าจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในทางทฤษฏีการกักตุนโดยการซื้อสินค้าเข้ามาจะไม่ได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะซื้อเข้ามาในอัตราเท่าใดก็สามารถขอคืนภาษีได้เท่านั้น ส่วนในการขายภาษีขายที่เกิดขึ้นก็เป็นการเรียกเก็บจากผู้บริโภค แต่กรณีการกักตุนสินค้าอาจจะเป็นไปได้ในกรณีของผู้ประกอบการที่จะได้รับยกเว้นภาษีหรือไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากขอคืนไม่ได้จึงต้องรีบโอนขายกันก่อนเพื่อเสียภาษีในอัตราร้อยละ 7 แทนการเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10 ซึ่งจะทำให้ได้รับต้นทุนทางภาษีที่ถูกกว่า อย่างไรก็ดี ในกรณีนี้คงจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจาก
1. อัตราภาษีปรับขึ้นเพียง 3% อาจไม่คุ้มค่าดอกเบี้ยของผู้กักตุน และถ้าคำนวณจริง ๆ แล้ว สินค้าควรจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเพียงร้อยละ 2.8
2. ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชะลอตัว สินค้าขายได้ยาก ไม่เหมาะที่จะกักตุนสินค้า
3. เศรษฐกิจในช่วงนี้นับว่าเป็นเศรษฐกิจในช่วงซบเซาการขึ้นราคาสินค้าจึงกระทำได้ยาก เพราะประชาชนไม่มีเงินออมมากพอที่จะมาซื้อสินค้าที่แพงขึ้น ยกเว้นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ถูกเรียกเก็บ จึงไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด
- การปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีผลกระทบต่อราคาสินค้า ดังนี้
1. สินค้าจำเป็นต่อการครองชีพ ส่วนใหญ่จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น พืชผลทางการเกษตร เนื้อสัตว์ หนังสือ กิจการขนส่งในประเทศ โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น ดังนั้นจึงมีผลกระทบค่อนข้างน้อย
2. สินค้าทั่วไปและสินค้าฟุ่มเฟือย เนื่องจากในปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว การปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้นอีก 3% อาจจะทำให้สินค้าขายได้ยาก ดังนั้น จึงคาดว่าผู้ประกอบการคงจะไม่ขึ้นราคาสินค้าสูงขึ้นมาก รวมทั้งยังอาจจะรับภาระไว้เองส่วนหนึ่งด้วย
- สินค้าที่ไม่น่าจะมีผลกระทบจากการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ สินค้าที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น
พืชผลทางการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวสาร ข้าวเปลือก ฯลฯ (ที่ยังไม่แปรสภาพ)
การขายสัตว์ เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไข่ ฯลฯ (ที่ยังไม่แปรสภาพ) น้ำผึ้ง น้ำนมสดที่ไม่ปรุงแต่ง (นมจืด)
การขายปุ๋ย
การขายปลาป่น อาหารสัตว์
การขายยา หรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์
การขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียนทุกชนิด เป็นต้น
- กรณีการประกอบการที่มีข้อผูกพันระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ซื้อ หรือผู้รับบริการอยู่ก่อนวันที่กฎหมายกำหนดให้ใช้บังคับ ซึ่งจะได้รับสิทธิให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราเดิม กรมสรรพากรได้มีการออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร กำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 เพื่อเป็นการบรรเทาภาระดังรายการต่อไปนี้
1. การขายสินค้าหรือการให้บริการกับกระทรวง ทบวง กรม หรือราชการส่วนท้องถิ่นที่มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้มีการทำสัญญา ก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540
2. การขายสินค้าตามสัญญาให้เช่าซื้อ หรือสัญญาซื้อขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อได้ส่งมอบโดยได้มีการทำสัญญาและมีการผ่อนชำระตามสัญญานั้นแล้วก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540
3. การให้บริการตามสัญญาที่มีข้อกำหนดให้ชำระค่าตอบแทนตามส่วนของบริการที่ทำ โดยมีการทำสัญญา และได้มีการชำระค่าบริการตามส่วนของบริการที่ทำหรือได้มีการชำระค่าบริการบางส่วนแล้วก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540
4. การขายสินค้าประเภทกระแสไฟฟ้า น้ำประปา หรือการให้บริการโทรศัพท์ วิทยุติดตามตัว เฉพาะที่ได้มีการขายหรือให้บริการก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540 ทั้งนี้ ไม่ว่าจะได้ออกใบแจ้งหนี้ก่อนหรือหลังวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540
โดยการได้รับสิทธิดังกล่าว ผู้ประกอบการจะต้องยื่นคำขอใช้สิทธิตามแบบที่อธิบดีกำหนด ภายในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2540 เพื่อขอรับสิทธิจนกว่าสัญญาจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2542
- แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการยื่นแบบชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
แบบฯ ภ.พ.30 ที่ใช้ในช่วงการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีภาระภาษีจากการคำนวณเป็น 2 อัตรา (ร้อยละ 7 ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม และร้อยละ 10 ช่วงวันที่ 16-31 สิงหาคม พ.ศ.2540) ดังนั้น จึงได้กำหนดให้มีการยื่นแบบฯ ภ.พ.30 ตามปกติ และได้กำหนดให้มีการกรอกรายละเอียดวิธีการคำนวนตามใบแนบเพื่อยื่นประกอบแบบ ภ.พ.30 ด้วย
เรื่อง มาตรการประหยัดในภาครัฐ
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 สิงหาคม 2540 ในเรื่องของมาตรการประหยัดในภาครัฐรัฐบาลได้มีนโยบายดำเนินการเร่งรัดฟื้นฟูแก้ไขเศรษฐกิจที่มีปัญหา โดยการปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นในภาครัฐเพื่อประหยัดงบประมาณซึ่งมาตรการสำคัญ ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่
1. การระงับการส่งข้าราชการ ลูกจ้าง กรรมการและพนักงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่นไปประชุม ฝึกอบรม สัมมนา หรือดูงานในต่างประเทศชั่วคราวในปีงบประมาณ พ.ศ.2540 เว้นแต่ในกรณีที่มีความจำเป็นก็ให้เสนอขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นกรณี ๆ ไป
2. การกำหนดให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ระงับการจัดประชุม ฝึกอบรม หรือสัมมนาในช่วงระเวลาที่เหลือจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2540 เว้นแต่ในกรณีที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ก็ให้เสนอขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นกรณี ๆ ไป
3. นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มุ่งเน้นการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง โดยให้ส่วนราชการเข้มงวดการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2540 การปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2540 การปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2540 โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยอดงบประมาณรายจ่ายให้เหมาะสมกับความจำเป็น การปรับลด/ชะลอการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2540 ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการพิจารณาปรับลดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2540 อีกด้วย นั้น
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาว่า เพื่อให้การประหยัดในภาครัฐได้รับผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์ และก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวม อันจะเป็นแบบอย่างสำหรับการประหยัดในภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป จึงมีมติเห็นชอบมาตรการประหยัดในภาครัฐเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งต้องมุ่นเน้นการประหยัดอดออม ดังนี้
1. ให้งดพิธีการทุกชนิดของทางราชการที่ฟุ่มเฟือย ยกเว้น ราชพิธี รัฐพิธี หรือพิธีการบางเรื่องที่จำเป็น
2. ห้ามข้าราชการ ลูกจ้าง กรรมการและพนักงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่นเชิญแขกทั่วไปมาเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด หรือเลี้ยงรับ เลี้ยงส่ง ฉลองยศ หรือตำแหน่ง ขึ้นบ้านใหม่ ครบรอบแต่งงาน หรืองานอื่นใดนอกจากที่ระบุไว้ดังกล่าวซึ่งเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
3. ให้หน่วยงานของรัฐงดการเลี้ยงรับรอง เลี้ยงฉลอง หรือเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติที่อาศัยชื่อหน่วยหรือชื่อตำแหน่งในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจัดทำขึ้นไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่สำหรับประมุขของชาติหรือแขกของรัฐบาล หรือชาวต่างประเทศที่เกี่ยวข้องในการทำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย หรืองานอันเป็นทางปฏิบัติที่นิยมกันในทางการทูต แต่ให้ทำโดยประหยัด
ทั้งนี้ ให้ยกเว้นกรณีกิจการใดที่จะก่อให้เกิดรายได้และผลประโยชน์ของประเทศ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวฯ การสนับสนุนอุตสาหกรรมการส่งออก เป็นต้น
4. ให้หน่วยงานของรัฐ รณรงค์ประหยัดการใช้วัสดุ อุปกรณ์ ไฟฟ้า น้ำประปา และโทรศัพท์ให้มากที่สุด สำหรับการจัดพิมพ์เอกสารรายงาน ผลงาน หรือเอกสารใด ๆ ให้จัดทำเฉพาะเท่าที่จำเป็นและต้องใช้ประโยชน์เท่านั้น
5. การเรี่ยไรในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อจัดกิจกรรมใด ๆ ที่หน่วยงานของรัฐที่กำหนดขึ้น ให้งดเว้นโดยเด็ดขาดเว้นแต่เป็นกิจกรรมการกุศล เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า
6. ให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ยึดถือนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2527 เรื่อง นโยบาย 4 ประการ อันประกอบด้วย การประหยัด การนิยมไทย วินัยของชาติ และความสะอาดของบ้านเมือง และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2540 เรื่อง แนวทางการรณรงค์ ไทยช่วยไทย กินของไทย ใช้ของไทย เที่ยวเมืองไทย ร่วมใจประหยัด โดยให้ความสนใจถือปฏิบัติอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศ
7. ให้ข้าราชการการเมืองถือปฏิบัติเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติตามมาตรการประหยัดในภาครัฐดังกล่าว
เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบเกี่ยวกับการจ้างงานจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2540 คณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจได้รับทราบรายงานความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนจากหน่วยงานต่าง ๆ ในส่วนของกระทรวงแรงงานสวัสดิการสังคม ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบ สรุปได้ดังนี้
การดำเนินการเกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงาน
(1) สถานการณ์การเลิกจ้าง
1) ในปี 2539 มีคนงานถูกเลิกจ้าง 5,008 คน
2) ในปี 2540
- ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 1 กรกฎาคม 2540 มีคนงานถูกเลิกจ้าง 6,204 คน
- หลังการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 จนถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2540 มีคนงานถูกเลิกจ้าง 1,403 คน แยกเป็นชาย 767 คน หญิง 636 คน
(2) การดำเนินการของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว
1) การเฝ้าระวังการแก้ปัญหาฉับพลัน
- กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้มีการจัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างการว่างงาน" โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นกรรมการ ทำหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ในภาพรวมของประเทศ และระดมทรัพยากรเพื่อระงับยับยั้งปัญหาการเลิกจ้าง
- มีหนังสือขอความร่วมมือจังหวัดต่าง ๆ ให้จัดตั้ง "คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างการว่างงาน" โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน เป็นหน่วยปฏิบัติการเชิงรุก เพื่อยับยั้งปัญหาให้ยุติได้อย่างเบ็ดเสร็จในพื้นที่
- จัดตั้งคณะทำงานขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างและการว่างงาน โดยมีภารกิจติดตามข้อมูลการเลิกจ้าง และเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเงินทุนประกอบอาชีพและการสงเคราะห์อื่น ๆ
- กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้เร่งรัดดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง โดยดำเนินการให้ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายคือ ค่าชดเชยจำนวน 30 วัน ของอัตราค่าจ้างสุดท้ายสำหรับลูกจ้างที่ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี ค่าชดเชย 60 วัน สำหรับผู้ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี และ 90 วัน สำหรับผู้ทำงานครบ 3 ปีขึ้นไป นอกจากนี้กรณีที่นายจ้างนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงาน นายจ้างมีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยเพิ่มพิเศษสำหรับลูกจ้างที่ทำงานเกิน 6 ปีขึ้นไป โดยจ่ายเพิ่มอีกปีละ 15 วัน (เฉพาะปีที่เกิน 6 ปี)
- สำหรับมาตรการในการดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีพนักงานบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ จำนวน 58 แห่งที่อาจถูกเลิกจ้างนั้น กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้กำหนดแนวทางในการดำเนินการไว้ ดังนี้
1) นัดหมายและจัดให้มีการพบปะหารือระหว่างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ กับตัวแทนสมาคมธนาคารไทย สมาคมบริษัทเงินทุน สมาคมหลักทรัพย์ TDRI และกลุ่มนักวิชาการเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งเสนอข้อเสนอแนะและความต้องการเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหาฯ
2) จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้น เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง/ข้อมูลประวัติบุคคลของพนักงานในสถาบันการเงินทั้ง 58 แห่ง ที่อาจถูกเลิกจ้างและจะประสานติดต่อกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการแรงงานเตรียมไว้รองรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างให้มีงานทำได้ พร้อมกันนั้นก็จะจัดทำข้อมูลตำแหน่งงานว่างให้ทันสมัยตลอดเวลา
3) จัดหาแหล่งเงินทุนกู้ยืมในรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่พนักงานที่ถูกเลิกจ้างกู้ยืมไปประกอบอาชีพส่วนตัว
- การบรรจุงานใหม่ให้แก่ลูกจ้าง จากการรวบรวมตำแหน่งงานว่างในภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมจากหนังสือพิมพ์ 11 ฉบับ ซึ่งมีประมาณ 7,000 กว่าตำแหน่ง และมีตำแหน่งงานว่างสะสมจากเดือนมิถุนายน 40,000 กว่าตำแหน่ง จึงคาดว่าจะมีตำแหน่งงานว่างสะสมมาจากเดือนสิงหาคม ไม่ต่ำกว่า 30,000 ตำแหน่ง
- การพัฒนาผีมือแรงงานให้แก่ผู้ถูกเลิกจ้างเพื่อเพิ่มทักษะฝีมือแรงงานและสร้างโอกาสในการหางานทำใหม่ โดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้จัดทำโครงการพัฒนาฝีมือแรงงานให้กับผู้ถูกเลิกจ้างซึ่งดำเนินการในพื้นที่รับผิดชอบการพัฒนาฝีมือแรงงานของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานกลาง (กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และปทุมธานี) ชลบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานวัดธาตุทอง นนทบุรี สระบุรี และฉะเชิงเทรา โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาฝีมือแรงงานลูกจ้าง 50,000 คน ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว และสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้แก่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจำนวน 3.9 ล้านบาท เพื่อใช้ในการฝึกอาชีพให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง
การดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพคนงาน
กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้จัดทำโครงการจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพให้แก่ผู้ใช้แรงงาน เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อน โดยขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ในการจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ เพื่อให้สหภาพแรงงาน สหพันธ์แรงงาน สภาองค์การลูกจ้าง และสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกจ้างและสมาชิกในราคาถูก ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการแล้ว ในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และนิคมอุตสาหกรรมบางพลี--จบ--