ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ให้ความสำคัญกับการศึกษามาโดยตลอด เพื่อการส่งเสริมการเรียนรู้ของคนในชาติ ทั้งนี้ได้กำหนดนโยบายด้านการศึกษาเน้นการให้โอกาสทางด้านการศึกษาของประชาชนให้เป็นไปอย่างเท่าเทียม ส่งเสริมค่านิยมหลัก 12 ประการ นอกจากนี้ยังเห็นว่าการส่งเสริมนิสัยใฝ่เรียนรู้ ของเยาวชนจำเป็นที่ต้องพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้มีความน่าสนใจ รวมถึงการจัดตารางการเรียนในการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้มีการศึกษาแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนเพื่อสร้างนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า การรู้หนังสือจะทำให้คนสามารถนำไปใช้แสวงหาความรู้เพิ่มเติมได้ การส่งเสริมการรู้หนังสือจึงเป็นการสร้างโอกาสที่สำคัญในการเข้าถึงการศึกษาให้กับประชาชน ในปี พ.ศ. 2545 UNESCO ได้ประกาศให้ปี พ.ศ. 2548 - 2557 เป็นทศวรรษแห่งการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีจุดมุ่งหมายในการกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกร่วมกันระดมแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกได้นำแนวคิดดังกล่าว ขับเคลื่อนการจัดการศึกษาและเรียนรู้ ให้ประชาชนในชาติมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยอ่านออก 100 เปอร์เซ็นต์
“จากข้อมูลของเวิลด์แบงก์พบว่าคนไทยรู้หนังสือ 94 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในอันดับที่ 4 ของกลุ่มประเทศอาเซียนในการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2556 พบว่าคนอ่านหนังสือ 37 นาทีต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.2554 ร้อยละ 10 อย่างไรก็ตามการรณรงค์เพื่อการอ่านออกเขียนได้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะการอ่านมีความสำคัญมากขึ้น นอกจากนี้จากการสำรวจยังพบว่าคนไทยใช้อินเทอร์เน็ต 50.2ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเป็นการใช้การอ่านข่าวและหนังสือถึง 47.6 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันการอานไม่ใช่เป็นเพียงแค่การอ่านในหนังสือเท่านั้นแต่รวมถึงการอ่านตามสื่อต่างๆด้วย ประเด็นสำคัญคือการสร้างความตระหนักในเรื่องการอ่าน การสร้างความเข้าใจให้ทุกคนในประเทศเข้าใจถึงความสำคัญของการอ่าน การเข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้เป็นพื้นฐานทางการศึกษาตลอดชีวิต การส่งเสริมการอ่านจึงเป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องดำเนินการอย่างกว้างขวางต่อไป” ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว
อิชยา/สรุป,ศุภชัย/ภาพ
ที่มา: http://www.thaigov.go.th