วันนี้ (16 ก.ย.57) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ ร้อยเอก นายแพทย์ ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องค่าตอบแทนตำแหน่งที่ปรึกษาของข้าราชการการเมืองและการปฏิบัติงานของข้าราชการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ดำริดังนี้
1) เรื่องค่าตอบแทนของผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยที่ผ่านมามีค่าตอบแทนคนละประมาณ 63,800 บาท ซึ่งค่อนข้างสูงกว่าที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาของรัฐมนตรีที่เป็นทางการ จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณารายละเอียดเรื่องดังกล่าวให้มีความเหมาะสม โดยเน้นประสิทธิภาพการทำงาน ให้เหลือค่าตอบแทนคนละ 50,000 บาทต่อเดือน
2) ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีที่ไม่เป็นทางการ ให้เรียกว่า “คณะทำงานของรัฐมนตรี” จะได้ไม่ซ้ำซ้อนกันกับที่ปรึกษาของรัฐมนตรีที่มีการแต่งตั้งอยู่แล้วอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและให้การทำงานเป็นด้วยความเรียบร้อยและเป็นระเบียบ
3) การขึ้นป้ายคัทเอาท์ ข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง มักจะนำภาพถ่ายของตนเองขึ้นป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ไม่ควรนำภาพถ่ายมาขึ้นป้ายดังกล่าว เพราะเป็นเงินภาษีของประชาชน และทุกคนก็ต้องทำงานตามอำนาจหน้าที่เพื่อดูแลประชาชน ดังนั้นเป็นการทำงานในหน้าที่จึงไม่จำเป็นต้องนำภาพถ่ายไปแสดงตัวบุคคลบนป้ายคัทเอาท์ แต่ให้แสดงผลงานที่ได้ทำมาจะดีกว่า เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ
4) การเดินทางไปดูงานทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี มีความเป็นกังวล 2 เรื่อง คือ 1. คณะศึกษาดูงาน ทั้งจากกรณีที่กระทรวง ทบวง กรม หรือคณะกรรมาธิการ เดินทางไปศึกษาดูงานมักจะไปขอลดวาระที่เจ้าภาพได้กำหนดไว้แล้ว ต่อไปนี้จะทำเช่นนั้นไม่ได้ ทุกกระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดให้ไปศึกษาดูงานแบบใดก็ต้องศึกษาดูงานให้ครบตามที่เจ้าภาพจัดไว้ และต้องมีการเขียนรายงานเกี่ยวกับการศึกษาดูงานด้วย โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ หากรัฐมนตรีไป ต้องรายงานนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงไป ต้องรายงานรัฐมนตรี ถ้าต่ำกว่านั้นลงไปต้องรายงานหัวหน้าหน่วยงาน ทั้งนี้จะต้องมีการเขียนอธิบายให้ชัดเจนว่าไปศึกษาดูงานเรื่องอะไร มีข้อดีข้อเสียงอย่างไร และควรจะมีการปรับแก้ไขอย่างไรให้ทันสมัย เหมาะสมและจำเป็นกับตนเองและหน่วยงาน เป็นต้น ซึ่งหากได้มีการปฏิบัติตามข้างต้นดังกล่าวจะทำให้การเดินทางไปศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกิดผลสัมฤทธิ์มากขึ้น
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th