นายวิมล จันทรโรทัย รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกเมืองร้อนเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในด้านมูลค่า ส่งออกดอกกล้วยไม้ไปประเทศญี่ปุ่นคิดเป็นมูลค่ามากที่สุด ประมาณ 700 ล้านบาท และในด้านปริมาณ ส่งออกไปประเทศจีนมากที่สุดถึง 3,600 ตันต่อปี กล้วยไม้ที่ผลิตและส่งออกมากที่สุดได้แก่กล้วยไม้สกุลหวาย พันธุ์Sonia จึงทำให้แผนงานในปีหน้าเน้นเรื่องการส่งเสริมคุณภาพการปลูกกล้วยไม้ส่งออกให้มากขึ้น อาทิ 1. การควบคุมคุณภาพดอกกล้วยไม้ส่งออกตามเกณฑ์มาตรฐานของประเทศที่ต้องการนำเข้า 2. การควบคุมคุณภาพกล้วยไม้ ตั้งแต่มาตรฐานสวนที่ปลูก(GAP) มาตรฐานโรงคัดและบรรจุภัณฑ์ และมาตรฐานช่อดอกกล้วยไม้เพื่อควบคุมรักษาคุณภาพก่อนการส่งออก
อีกประเด็นคือ การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโลก ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายหน่วยงานในการช่วยส่งเสริมการขายและสร้างภาพลักษณ์ของกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก ในการประชุมครั้งนี้เป็นเวลาอันดีที่ทุกหน่วยงานจะมาร่วมกันกำหนดแผนงานในการจัดแสดงภาพลักษณ์กล้วยไม้ไทยและส่งเสริมการตลาดของกล้วยไม้ไทยในประเทศต่างๆ โดยให้ผู้ซื้อและผู้ขายได้มาพบกัน นอกเหนือจากการไปแสดงเรื่องคุณภาพแล้ว ยังเป็นการทำธุรกิจแบบ Business Matching ส่วนการวางแผนเรื่องนวัตกรรม ได้เล็งเห็นถึงปัญหาเพลี้ยไฟในสวนกล้วยไม้เป็นปัญหาหลัก ที่ส่งผลต่อคุณภาพกล้วยไม้ ได้มอบหมายให้มีการนำร่องทดสอบการปลูกกล้วยไม้ในโรงเรือน เพื่อควบคุมเพลี้ยไฟแล้ว และให้ศึกษาเรื่องคุณภาพกล้วยไม้หลังการบรรจุภัณฑ์ไปแล้ว ว่าสามารถแยกแยะได้ว่ากล้วยไม้ประเภทใดมีคุณภาพและกล้วยไม้ใดเป็นกล้วยไม้โดยทั่วไป เพื่อทำให้ตลาดมีโอกาสในการคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
นายวิมล กล่าวต่อไปว่า โอกาสในการนำเข้าไปขายในกลุ่ม AEC เช่น ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มีโอกาสสูง โดยต้องส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น ซึ่งได้กำหนดแผนงานไว้แล้วในปี 2558 โดยเฉพาะในประเทศฟิลิปปินส์ เพราะเป็นตลาดที่น่าสนใจ
ด้านราคาของกล้วยไม้นั้น ปกติประเทศไทยได้มีการส่งออกดอกกล้วยไม้ปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากประเทศไทยมีการปลูกกล้วยไม้สกุลหวาย พันธุ์Sonia ค่อนข้างมาก ประกอบกับในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน มีปริมาณผลผลิตกล้วยไม้ออกมามาก อาจทำราคาค่อนข้างตกลงไป แต่อย่างไรก็ตามในการคัดคุณภาพที่ส่งออกไปยังประเทศที่ต้องการคุณภาพกล้วยไม้และสามารถแยกแยะได้ ยังมีโอกาสที่จะทำตลาดต่อไปได้ อีกทั้งประเทศไทยยังมีศักยภาพ มีโอกาสในการแข่งขันสูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่สิ่งที่จำเป็นในขณะนี้คือ ต้องแยกความต้องการของประเทศปลายทางให้ชัดเจน และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ประเทศปลายทางได้กำหนดเอาไว้ เช่น ขนาด คุณภาพ วิธีการในการเก็บรักษา วิธีการบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีความสำคัญในการหารือในครั้งนี้ด้วย
“ตลาดหลักๆในการส่งออกกล้วยไม้ของไทยคือ ประเทศจีน มีปริมาณการส่งออกปีละเกือบ 30% ซึ่งไทยจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานGAP และมาตรฐานโรงเรือน(GMP) ในบางพื้นที่ของจีนยังมีการควบคุมเรื่องแมลง จึงจำเป็นต้องมีการขอใบอนุญาตหรือใบรับรองการปลอดแมลงจากด่านที่ส่งออกด้วย ช่องทางการส่งออกในปัจจุบันมีการส่งทางรถยนต์เป็นหลัก ผ่านทางเชียงของ ไปประเทศลาว เข้าสู่ทางตอนใต้ของจีน ไปถึงตลาดคุนหมิง โอกาสที่จะพัฒนาในตลาดจีนให้มากขึ้นต้องอาศัยการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนากล้วยไม้ให้มีความต่อเนื่องและมีคุณภาพให้เหมือนกัน ส่วนกล้วยไม้ที่มีคุณภาพต่ำจำเป็นต้องแยกแยะออกจากตลาดหลักโดยทั่วไปเพื่อทำให้กลไกของราคาเป็นไปตามคุณภาพของราคาสินค้า” นายวิมล กล่าว
ที่มา: http://www.thaigov.go.th