วันนี้ (23 ก.ย.57) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วย ร้อยเอก นายแพทย์ ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และพันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีที่จะมีการประชุมในครั้งต่อไป นั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้เลื่อนจากเดิมที่จะประชุมฯ ในวันที่ 30 กันยายน 2557 เป็นวันพุธที่ 1 ตุลาคม 2557 เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ติดภารกิจในเรื่องของการรับส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารบก ณ กองบัญชาการกองทัพบก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดเป็นนโยบายว่า จากนี้ไปจะพยายามให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างคณะรัฐมนตรีกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดือนละ 1 ครั้ง โดยครั้งแรกจะกำหนดให้มีการประชุมร่วมกันในวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2557 เวลา 09.00 น. ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต ทั้งนี้ เพื่อติดตามงานหลังจากที่คณะรัฐมนตรีรับหน้าที่ต่อจาก คสช. ว่าในแต่ละเรื่องที่ได้ปฏิบัติราชการมีความก้าวหน้าอย่างไร ตามที่ได้สัญญาไว้กับประชาชน รวมทั้งเพื่อจะได้ให้ข้อเสนอแนะในเรื่องต่าง ๆ ต่อ ครม. ตามความเหมาะสม
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการเกี่ยวกับแผนการปฏิบัติการ (action plan) ว่า แผนการปฏิบัติงานของทุกกระทรวง ทบวง กรม จะต้องทำ 2 เรื่องควบคู่กันไป คือ 1) action plan ไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานใดก็แล้วแต่ที่มีงบประมาณของรัฐเข้าไปอุดหนุน จะต้องทำ action plan เพื่อจะได้ทราบว่านโยบายในแต่ละข้อใครจะต้องทำอะไร ตรงไหนบ้าง 2) รายงานผลการปฏิบัติราชการเป็นรายสัปดาห์ โดยส่งให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รวบรวมเรื่องดังกล่าว เพื่อติดตามสิ่งที่รัฐบาลได้มอบนโยบายไป ว่ามีผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้นอย่างไร และให้การทำงานสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
รวมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กำชับว่า เมื่อเริ่มปีงบประมาณใหม่ โครงการที่เป็นโครงการขนาดเล็ก หรือโครงการที่มีการเบิกจ่ายครั้งเดียวและไม่มีผลผูกพัน ต้องเร่งรัดดำเนินโครงการภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้มีการจ้างงาน ตลอดจนสร้างรายได้ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ทั้งประเทศก็จะส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม
อีกทั้ง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงแผนงานรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประจำปี 2558 - 2560 ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอต่อที่ประชุม ครม. ว่า แผนเดิมฯ จะอยู่ในช่วงปี 2555 - 2557 และสิ้นสุดปลายเดือนกันยายน 2557 นี้ ดังนั้นจึงต่อแผนฯ ใหม่ ในปี 2558 - 2560 โดยในแผนฯ ใหม่ที่ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจะเน้นในเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาในทุกมิติก็มีการพัฒนาและมีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่นายกรัฐมนตรียังต้องการให้มีการเร่งรัดมากขึ้นคือเรื่องของการพัฒนา เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นอย่างครบในทุกมิติอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ แผนงานรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประจำปี 2558 - 2560 นั้น ได้กำหนดกลยุทธ์เอาไว้ทั้งสิ้น 9 กลยุทธ์ เช่น เรื่องยาเสพติด ผู้หลบหนีเข้าเมือง การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ ความมั่นคงพิเศษ ( การบุกรุกทำลายป่า) การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาตรการส่งเสริมสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยน้อมนำโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมาเป็นตัวขับเคลื่อน และการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งการส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เป็นต้น
ขณะเดียวกันในส่วนการเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้น คณะรัฐมนตรี ผอ.รมน. จะต้องมีการกำหนดกลไกการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือใหม่ เพื่อจะนำไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการเชื่อมโยงการจัดตั้งประชาคมอาเซียนด้วย
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th