ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสยกระดับความสามารถการผลิตให้สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการในสายธุรกิจอื่น ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนสายการผลิตเข้าสู่ supply chain ของอุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์นี้จำเป็นต้องมีองค์ความรู้ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ มีการผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และต้องสามารถสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาด ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เป็นผู้ดำเนินโครงการทั้ง 3 โครงการ และได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า โครงการดังกล่าวนั้นจะสามารถเป็นแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ของประเทศที่มีประสิทธิภาพและปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้ ภายหลังสิ้นสุดโครงการนำร่องแล้ว ภาครัฐจะยังคงให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ของไทยต่อไป
ดร.สมชาย หาญหิรัญ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า สศอ. ได้ดำเนินโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์และสุขภาพร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ในปี 2555-2557 จำนวน 3 โครงการ โดยแต่ละโครงการมีผลการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ดังนี้
1. โครงการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์และสุขภาพ ด้านการเพิ่ม Productivityและพัฒนามาตรฐาน ISO 13485 โดยได้ยกระดับผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรม ทั้งด้านการบริหารจัดการและการผลิตให้กับโรงงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 42 โรงงาน และช่วยผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมในการขอรับรองมาตรฐาน ISO 13485 ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับของ AECอีกจำนวน 117 โรงงาน
2. โครงการวิจัยพัฒนาและออกแบบวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์และสุขภาพ โดยได้เชื่อมโยงผลงานงานวิจัย ที่มีของหน่วยงานต่างๆ ไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ โดยให้การส่งเสริมตั้งแต่การออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การทดสอบทางคลินิกเพื่อยืนยันผลการใช้งานจริงกับผู้ป่วย หรือการพัฒนาให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล รวมทั้งสิ้น 41 โครงการ
3. โครงการศึกษาวิจัยโอกาสทางธุรกิจและการเพิ่ม Value Creation สำหรับอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ ทางการแพทย์ มีกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ดำเนินการ ได้แก่
- การศึกษาผลิตภัณฑ์อุปกรณ์การแพทย์ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในอนาคต และแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
- การจัดทำฐานข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์การแพทย์ หรือ Medical IntelligenceUnits เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ และใช้ในการกำหนดนโยบายของภาครัฐ และได้รวมเข้าเป็นหนึ่งในระบบฐานข้อมูลเชิงลึกของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในปี 2557
- การจัดทำคู่มือแนวทางการเลือกซื้อวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ในเชิงเทคนิคและวิศวกรรม สำหรับอุปกรณ์สำคัญต่างๆ
สำหรับการดำเนินงานทั้ง 3 โครงการนี้ ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งมีผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยได้ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการให้สูงขึ้น ทั้งนี้ การดำเนินการที่ผ่านมาได้รับความมือ เป็นอย่างดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สถาบันพลาสติก และสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ในประเทศไทย และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพที่สำคัญของอาเซียนภายใน 2563 โดยมีแนวทางที่มุ่งยกระดับศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมสูงขึ้น การยกระดับผลิตภาพการผลิต และลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากขบวนการผลิต การดำเนินการทดสอบทางคลีนิก เพื่อยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยกับผู้ใช้งาน ตลอดจนสนับสนุนการผลิตที่ได้มาตรฐานของกลุ่มประเทศชั้นนำ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาดสากล อีกทั้งยังได้จัดทำฐานข้อมูลเชิงลึก เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์การดำเนินธุรกิจต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th