นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 15 ตุลาคมของทุกปี สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UN) กำหนดให้เป็นวันล้างมือโลก (Global Hand Washing Day) เพื่อรณรงค์และกระตุ้นให้เด็กและประชาชนทั่วโลก หันมาให้ความสำคัญการล้างมือที่ถูกวิธี และสร้างวัฒนธรรมการล้างมือที่สะอาดถูกสุขอนามัย เป็นเครื่องมือป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ลดการป่วยและเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อที่สำคัญ เช่น ปอดบวม อุจจาระร่วง ไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์ เป็นต้น โดยองค์การยูนิเซฟระบุว่าในแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบป่วยและเสียชีวิตจากโรคอุจจาระร่วงประมาณ 3.5 ล้านคน จากโรคปอดบวมประมาณ 2 ล้านคนมากกว่าการเสียชีวิตจากโรคเอดส์ มาลาเรีย และวัณโรครวมกัน และผลการวิจัยทั่วโลกยืนยันผลตรงกันว่า การล้างมือด้วยน้ำและสบู่ที่ถูกวิธี จะลดการเสียชีวิตจากโรคอุจจาระร่วงได้ถึงร้อยละ 50 และโรคปอดบวมได้ร้อยละ 25 โดยผลการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า การล้างมือด้วยน้ำและสบู่อย่างถูกวิธีเพียง 15 วินาที สามารถลดการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 90
นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อว่า สาเหตุการเจ็บป่วยของคนไทยขณะนี้ ร้อยละ 90 เป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยพฤติกรรมที่กระทรวงสาธารณสุขมุ่งเน้นให้คนไทยทุกกลุ่มวัยปฏิบัติให้เป็นนิสัย 3 ประการหลัก คือ การกินร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือด้วยน้ำและสบู่ เป็นกลวิธีป้องกันปัญหาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะอวัยวะที่สำคัญและเป็นตัวนำเชื้อโรคจากแหล่งต่างๆมาสู่ร่างกายได้ง่ายที่สุดคือมือ ซึ่งใช้งานเกือบตลอดเวลา จึงมีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคต่างๆทั้งแบคทีเรีย ไวรัส โรคติดเชื้อที่สามารถติดผ่านทางมือสัมผัสและคนไทยป่วยกันมากในอันดับต้นๆ 4 โรค ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคอุจจาระร่วง โรคตาแดง โรคอีสุกอีใส เชื้อโรคจะอยู่ในสารคัดหลั่งทั้งน้ำมูก น้ำลาย ในอุจจาระ สำนักระบาดวิทยารายงานว่าในรอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา ทั่วประเทศมีผู้ป่วยรวมกันจำนวน 1 ล้าน 3 แสนกว่าราย เสียชีวิต 65 ราย ซึ่งจำนวนใกล้เคียงกับตลอดปี 2556 และเมือสิ้นปีคาดว่าจำนวนจะสูงกว่าอย่างแน่นอน
ทั้งนี้กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้สำรวจพฤติกรรมการล้างมือของคนไทยวัยทำงาน ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม 2557 พบว่า ไม่ล้างมือด้วยสบู่ ภายหลังขับถ่ายสูงถึงร้อยละ 88 จึงมีโอกาสติดเชื้อโรคต่างๆได้สูงขึ้น เช่น เชื้อโรคจากอุจจาระ ผลการศึกษาในต่างประเทศพบว่าในอุจจาระคน ขนาดน้ำหนัก1 กรัม จะมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ 1 ล้านตัวและมีเชื้อไวรัสมากถึง 10 ล้านตัว หากมีอุจจาระติดมือ เชื้อโรคก็จะติดมาด้วย และมีโอกาสก่อโรคได้ตลอดเวลา จึงได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ รณรงค์ปลูกฝังให้ประชาชนล้างมือฟอกสบู่ทุกครั้ง ให้ติดเป็นนิสัย เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านการสัมผัส ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดและคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ซึ่งให้ผลประมาณร้อยละ 90 เช่นกัน
ดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในที่สาธารณะ เช่น ในปั้มน้ำมัน โรงพยาบาล ไม่แนะนำให้ใช้ผ้าเช็ดมือรวม หากเป็นไปได้ควรใช้กระดาษเช็ดมือ หรือเครื่องเป่าลมแทนการใช้ผ้า เนื่องจากการล้างมือด้วยน้ำธรรมดาอย่างเดียว ไม่ได้ฟอกสบู่ จะมีผลเพียงลดคราบสกปรก ฝุ่นละอองเท่านั้น แต่เชื้อโรคยังมีเหมือนเดิม หากไปใช้ผ้าเช็ดมือรวม จะเป็นการเอาเชื้อโรคไปติดฝังอยู่ที่ผ้าเช็ดมือ เมื่อผู้ที่ล้างมือและฟอกสบู่ด้วย ไปเช็ดต่อด้วยผ้าเช็ดมือผืนเดียวกัน ก็จะมีโอกาสสัมผัสเชื้อที่ผ้าไปด้วย
การล้างมือด้วยน้ำและสบู่ที่ถูกวิธี จะมีผลในการลดปริมาณเชื้อโรคที่มือได้ดีที่สุด มี 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1.ฝ่ามือถูกัน 2.ฝ่ามือถูหลังมือและนิ้วถูซอกนิ้ว 3.ฝ่ามือถูฝ่ามือและนิ้วถูซอกนิ้ว 4.หลังนิ้วมือถูฝ่ามือ 5.ถูนิ้วหัวแม่มือโดยรอบด้วยฝ่ามือ 6.ปลายนิ้วมือถูขวางฝ่ามือ และ7.ถูรอบข้อมือ โดยทุกขั้นตอนทำ 5 ครั้ง สลับกันทั้ง 2 ข้าง เพียง 15-20วินาที ซึ่งขณะนี้ได้จัดพิมพ์สติ๊กเกอร์การล้างมือเผยแพร่ไปให้หน่วยงานต่างๆแล้ว
ดร.นายแพทย์พรเทพ กล่าวต่อว่า ในระดับครอบครัว ควรปลูกฝังการล้างมือด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้ง ดังนี้ 1.ก่อนรับประทานอาหาร 2.ก่อนและหลังการเตรียมปรุงอาหาร 3.หลังเข้าห้องส้วม 4.หลังสัมผัสสิ่งสกปรก เช่น หลังการไอ จาม สั่งน้ำมูก 5.หลังจากทำความสะอาดบ้านและบริเวณบ้าน 5.หลังสัมผัสหรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง 6.หลังจากออกไปปฏิบัติภารกิจนอกบ้าน และ 7.ภายหลังสัมผัสสิ่งของที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น ลิฟท์ ราวบันได รถยนต์โดยสารสาธารณะ ที่จับประตูเปิด-ปิด รถเข็นห้างสรรพสินค้า เป็นต้น เนื่องจากเป็นจุดสะสมเชื้อโรคต่างๆ ไว้มาก ทั้งนี้การล้างมือให้สะอาดใช้เพียงน้ำและสบู่ทั่วๆไปก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ฆ่าเชื้อหรือสบู่ยา ส่วนลักษณะของอ่างล้างมือควรระบายน้ำได้ดีและต้องไม่มีน้ำขังในจุดวางสบู่ หากไปในที่ไม่มีน้ำล้าง อาจใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือแทนน้ำได้เช่นกัน
15 ตุลาคม 2557
ที่มา: http://www.thaigov.go.th