นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือให้รัฐมนตรีในทุกกระทรวงมีบทบาทร่วมกันในการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้มากยิ่งขึ้นในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

ข่าวทั่วไป Tuesday October 28, 2014 13:35 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ทุกกระทรวงมีบทบาทในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนต่อกรณีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับประชาชน พร้อมเร่งรัดให้ทุกกระทรวงขับเคลื่อนเศรษฐกิจพิเศษให้เกิดผลอย่างจริงจังเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างทั่วถึง

วันนี้ (28 ต.ค.57) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการประชุมร่วมระหว่างคณะรัฐมนตรีกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน ศกนี้ โดยเป็นการประชุมร่วมกันในช่วงแรก ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงสามสิบนาที เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้รายงานผลการบริหารราชการต่อ คสช. ซึ่งจะได้รับทราบว่างานแต่ละเรื่องแต่ละด้านได้ดำเนินการไปอย่างไรบ้าง เพราะหน้าที่ของ คสช. คือติดตามการทำงานของภาคส่วนต่าง ๆ ของคณะรัฐมนตรีและหลังจากนั้น ทางคณะรัฐมนตรีก็จะประชุมกันต่อเฉพาะในส่วนของคณะรัฐมนตรีต่อไป

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใยต่อพี่น้องเกษตรกรในทุกกลุ่ม ทั้งชาวนา ชาวสวนยาง ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้ทุกกลุ่มดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีหน้าจะมีภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ตลอดจนภาวะภัยแล้ง ขอให้ทุกกระทรวงได้เตรียมการในส่วนของตนเอง เพื่อความพร้อมที่จะดูแลพี่น้องประชาชนในความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวง ในขณะเดียวกันก็จะต้องสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน พร้อมมีแนวทางช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยต่อการปฏิรูปพลังงานของประเทศ รัฐบาลจึงได้ประกาศเชิญชวนให้ภาคเอกชนทั้งหลาย เข้ามายื่นคำขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในแปลงสำรวจต่าง ๆ ทั้งบนบกและในทะเลอ่าวไทยต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ณ ที่ทำการภายในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายคุรุจิต นาครทรรพ) ได้แถลงข่าวชี้แจงเรื่องดังกล่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อเช้าวันนี้ ( 28 ต.ค. 57) ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล เพื่อจะสร้างความเข้าใจให้มากขึ้นกับพี่น้องประชาชนว่า มีเหตุผลอย่างไรรัฐบาลจึงต้องดำเนินการในช่วงนี้ เพราะว่าจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งนี้จะมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาในสภาปฏิรูปแห่งชาติในลำดับแรก

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึง การเร่งรัดเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีในทุกกระทรวงอีกครั้งหนึ่งว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่มีหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องโรงแรมที่พัก เรื่องอุตสาหกรรม เรื่องการค้าการลงทุน ซึ่งเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษเห็นควรให้ทุกกระทรวงมามีส่วนร่วมดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษ ได้แก่ อรัญประเทศ แม่สอด คลองใหญ่ มุกดาหาร สะเดา และปาดังเบซาร์

ประการสำคัญ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงต่อกรณีสถานบริการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรืออาจมีการละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายบ้าง ดังเช่น กรณีที่เกาะเต่า ซึ่งกระทรวงที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการกำหนดบทลงโทษตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วยการปิดสถานบริการ เพื่อให้มีมาตรการที่กระชับยิ่งขึ้นและลดภาวะสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาคดีอาชญากรรม ที่อาจส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

สำหรับ ประเด็นกลุ่มบุคคลที่มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันนั้น นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใย โดยขอให้ทุกกระทรวงรวมทั้งคณะโฆษกรัฐบาลสร้างความเข้าใจต่อกลุ่มบุคคลเหล่านั้น เพื่อไม่ให้กระทำความผิดตามกฎหมาย มาตรา 112 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้มีไว้สำหรับดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่ล่วงละเมิดจาบจ้วงต่อสถาบันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการเมือง เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องสื่อมวลชนทั้งหลายช่วยกรุณาแยกแยะให้ชัดเจนว่า การจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องของการกระทำความผิดตามกฎหมายไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองแต่อย่างใด

ส่วนเรื่องค่านิยม 12 ประการของนายกรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีความประสงค์ให้ประชาชนท่องจำแต่อย่างใด แต่ค่านิยมดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นคุณธรรมที่มีอยู่แล้วในสังคมไทยแต่เดิม แล้วให้นำมาปฏิบัติตามอย่างทั่วถึงเพื่อให้สังคมไทยเกิดความร่มเย็น มีบรรยากาศที่ดีและเป็นสังคมที่น่าอยู่มากขึ้น ซึ่งสถาบันครอบครัวนับว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะผลักดันค่านิยมดังกล่าวนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ปรารภถึงการจัดตั้งสถาบันปฏิรูปประเทศไทยคล้าย “สภาเงา” นั้น ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในระหว่างของการประกาศกฎอัยการศึกจึงขอให้ทุกกลุ่มทุกฝ่ายควรให้ความระมัดระวังในการรักษากฎหมายดังกล่าวโดยเคร่งครัด ซึ่งสถาบันปฏิรูปประเทศไทยไม่ใช่เวทีหรือสถาบันของทางราชการจึงไม่บังเกิดผลที่จะนำความเห็นต่าง ๆ ไปปฏิบัติได้ จึงเห็นควรมาร่วมเป็นเครือข่ายของทางราชการน่าจะเป็นแนวทางที่ดี ตลอดจนบุคคลที่ไม่ผ่านการพิจารณาการเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติใน 2 รอบที่ผ่านมา ก็เห็นควรมาร่วมกันเป็นเครือข่ายเพื่อปฏิรูปประเทศอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะมีการประสานงานกันในโอกาสต่อไป

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

พัณณ์วรินทร์ อินโท่โล่ รายงาน

ดวงใจ กล่อมจิตต์ ตรวจ

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ