นางนภา เศรษฐกร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับการประชุมฯ ในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการการพัฒนาความร่วมมือประเทศอาเซียนบวกสามเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์สวัสดิการสังคมและการพัฒนา พ.ศ.๒๕๕๔ – ๒๕๕๘ (SOMSWD Strategic Framework on Social Welfare and Development ๒๐๑๑ – ๒๐๑๕) ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community: ASCC) โดยได้เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิอย่างเสมอภาคของคนพิการในระดับภูมิภาค อีกทั้งได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเงินอาเซียน - ญี่ปุ่น (Japan - ASEAN Integration Fund : JAIF) นางนภา กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมศักยภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ดังนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (พก.) จึงได้จัดการประชุมระดับภูมิภาคฯ ดังกล่าวขึ้น ซึ่งจะเป็นทิศทางการดำเนินงานของประเทศอาเซียนบวกสามในปี ๒๕๕๙ – ๒๕๖๓ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามทศวรรษคนพิการแห่งอาเซียน และสนับสนุนให้เกิดการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสามเสาประชาคมอาเซียน ได้แก่ เสาสังคมและวัฒนธรรม เสาเศรษฐกิจ และเสาการเมืองและความมั่นคง
นางนภา กล่าวเพิ่มเติมว่า "การดำเนินงานในเชิงรุกเป็นสิ่งที่รัฐบาลอาเซียน องค์กรด้านคนพิการ ภาคประชาสังคมและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกัน เพื่อทำให้แน่ใจว่าคนพิการจะถูกรวมในกระแสสวัสดิการสังคมและการพัฒนาเช่นเดียวกันกับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ และการประชุมในครั้งนี้ อาจเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกคน ได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์แนวทางการดำเนินงานสู่สังคมบูรณาการปราศจากอุปสรรคที่แท้จริงสำหรับคนพิการ อีกทั้งเพื่อนำความรู้ ประสบการณ์ และบทเรียนที่เรามีเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมคนพิการ นอกจากนั้น เรายังต้องสนับสนุนให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนในการรับผิดชอบร่วมกัน รวมทั้งการส่งเสริมสิทธิของคนพิการสู่สังคมที่บูรณาการโดยปราศจากอุปสรรคอีกด้วย
"สำหรับผลที่จะได้รับจากการประชุมในครั้งนี้ จะมีการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ทศวรรษคนพิการแห่งอาเซียน ๒๐๑๕-๒๐๒๐ เพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา (Senior Official Meeting on Social Welfare and Development) ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในวันที่ ๒๕ – ๒๗ พฤศจิกายน ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อให้คำรับรองต่อไป” นางนภา กล่าวตอนท้าย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th