ทำเนียบรัฐบาล--24 มิ.ย.--บิสนิวส์
วันที่ 22 มิถุนายน เวลา 10.30 น. ณ ห้องรับรอง กระทรวงกลาโหม นายชาตรี โสภณพานิช ในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (Thailand-US Business Council) ได้นำคณะผู้บริหารมูลนิธิ Heritage Foundation นำโดย นายเดวิด อาร์ บราวน์ (David R.Brown) ประธานกรรมการมูลนิธิฯ นาย Edwin J.Fouliner, Jr. ประธานมูลนิธิ Heritage และนาย Edwin Messe อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสมัยประธานาธิบดีเรแกน พร้อมด้วยนายชุมพล พรประภา รองประธานสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคารวะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในโอกาสที่เดินทางมาเยือนภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน - 6 กรกฏาคม 2540 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับการเดินทางมาเยือนของคณะผู้บริหารมูลนิธิ Heritage Foundation และเห็นว่าการเดินทางมาเยือนภูมิภาคเอเชียของคณะ จะเป็นโอกาสอันดีในการที่จะได้รับฟังข้อมูลและความคิดเห็นของผู้นำในเอเชียและความรู้สึกของประชาชนในภูมิภาคนี้โดยตรง เนื่องจากทราบว่า คณะผู้บริหารมูลนิธิ Heritage Foundation นี้เป็นองค์กร Think Tank ที่มีความสำคัญในการให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะแก่นักการเมือง นักกฏหมายของสหรัฐฯ
ในโอกาสนี้ คณะผู้บริหารมูลนิธิ Heritage ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และกล่าวว่า การเดินทางมาเยือนภูมิภาคเอเชียครั้งนี้ ได้เลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรก หลังจากนี้ในวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2540 จะเดินทางต่อไปยังพม่า ทั้งนี้ จุดประสงค์สำคัญในการมาเยือน เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้นำในภูมิภาคเอเชีย เพื่อนำไปประมวลและอาจนำเสนอต่อสภาคองเกรสในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯและเอเชียด้วย และยังเป็นโอกาสของการครบรอบ 25 ปีของการก่อตั้งของมูลนิธิด้วย
ในระหว่างการสนทนา คณะผู้บริหารมูลนิธิฯ ได้สอบถามและแสดงความสนใจต่อสถานการณ์ในภูมิภาค โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศจีน บทบาทของประเทศจีนในอนาคต ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจึนอาจจะเป็นประเทศมหาอำนาจทางทหารต่อไปในภูมิภาคนี้ บทบาทของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชีย พัฒนาการในประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น ลาว กัมพูชา และพม่า รวมถึงความสำเร็จในการเดินทางไปเยือนลาวและกัมพูชาของนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 20-22 มิถุนายน 2540 ด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านว่า พัฒนาการในประเทศลาวทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจดำเนินไปด้วยดี มีความสงบเรียบร้อย ขณะที่สถานการณ์ในกัมพูชา มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากความสามารถในการปรองดองระหว่างนายกรัฐมนตรีร่วมทั้งสองของกัมพูชา แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่สงบเกิดขึ้นในเขตทางตอนเหนือของกัมพูชา และในโอกาสที่ได้เดินทางไปเยือนกัมพูชานั้น ก็ได้รับทราบด้วยว่านายพอล พต ผู้นำเขมรแดงได้ถูกจับกุมตัวไว้แล้ว โดยนายกประเทศพม่า นั้น นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงเจตนารมณ์ของอาเซียนในการดำเนินนโยบายอย่างสร้างสรรค์ หรือ Constructive Engagement ต่อไป พร้อมกับขอให้ฝ่ายสหรัฐฯและประเทศตะวันตกมีความอดทนและให้โอกาสแก่ประเทศพม่า ในการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกปัจจุบัน พร้อมกับได้ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงใดๆ จำเป็นต้องใช้เวลาและต้องเข้าใจสถานการณ์ภายในประเทศนั้นๆด้วย และกล่าวเชื่อมั่นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในพม่าในทางที่ดีขึ้น โดยเมื่อเร็วๆนี้ จากการเดินทางไปเยือนพม่า ยังได้มีโอกาสสอบถามผู้นำพม่าถึงเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความเห็นในเรื่องสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียว่า มีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อยในภูมิภาคเอเชีย โดยเห็นว่าอย่างน้อยที่สุด ในระยะเวลา 5-10 ปี จึนไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ที่มีต่อเอเชีย เนื่องจากประเทศต่างๆ ไม่ต้องการความขัดแย้งรวมทั้งประเทศจีน ก็ยังต้องการเวลาในการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ และเห็นว่าปัญหาในเรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์ ระหว่างจีนและไต้หวัน หรือหมู่เกาะริวกิว ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น จะสามารถดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อย ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีแสดงความคิดเห็นว่า สหรัฐฯจะยังคงเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดสำหรับไทย และประเทศในเอเชียต่อไป ทั้งนี้การคงอยู่ของกองกำลังทหารของสหรัฐฯ ยังคงมีความสำคัญต่อภูมิภาค ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาดุลอำนาจในภูมิภาคนี้ ( balance of power ) แต่สหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องปรับรูปแบบและยุทธวิธี
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวสรุปถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้ชะลอตัวลง เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้เติบโตในอัตราที่สูงมากถึง ร้อยละ 8-9 และได้เกิดระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่าฟองสบู่ (bubble economy) ดังนั้น จึงจำเป็นต้องลดการเติบโตลง โดยมีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันจะเติดโตในอัตราร้อยละ 5.6-5.7 และการส่งออกจะอยู่ในระดับที่ร้อยละ 7 ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้พยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายลง และส่งเสริมให้มีการออม (saving) มากยิ่งขึ้น รวมถึงการลดการนำเข้าให้น้อยลงด้วย เพื่อช่วยลดภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดให้น้อยลง ในการนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงแผนการต่างๆที่จะช่วยส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่นำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศมากที่สุดภาคหนึ่ง โดยเฉพาะในปี 2541-2542 รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยว ภายใต้โครงการชื่อว่า "Amazing Thailand" --จบ
วันที่ 22 มิถุนายน เวลา 10.30 น. ณ ห้องรับรอง กระทรวงกลาโหม นายชาตรี โสภณพานิช ในฐานะประธานสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ (Thailand-US Business Council) ได้นำคณะผู้บริหารมูลนิธิ Heritage Foundation นำโดย นายเดวิด อาร์ บราวน์ (David R.Brown) ประธานกรรมการมูลนิธิฯ นาย Edwin J.Fouliner, Jr. ประธานมูลนิธิ Heritage และนาย Edwin Messe อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสมัยประธานาธิบดีเรแกน พร้อมด้วยนายชุมพล พรประภา รองประธานสภาธุรกิจไทย-สหรัฐฯ เข้าเยี่ยมคารวะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในโอกาสที่เดินทางมาเยือนภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน - 6 กรกฏาคม 2540 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับการเดินทางมาเยือนของคณะผู้บริหารมูลนิธิ Heritage Foundation และเห็นว่าการเดินทางมาเยือนภูมิภาคเอเชียของคณะ จะเป็นโอกาสอันดีในการที่จะได้รับฟังข้อมูลและความคิดเห็นของผู้นำในเอเชียและความรู้สึกของประชาชนในภูมิภาคนี้โดยตรง เนื่องจากทราบว่า คณะผู้บริหารมูลนิธิ Heritage Foundation นี้เป็นองค์กร Think Tank ที่มีความสำคัญในการให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะแก่นักการเมือง นักกฏหมายของสหรัฐฯ
ในโอกาสนี้ คณะผู้บริหารมูลนิธิ Heritage ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และกล่าวว่า การเดินทางมาเยือนภูมิภาคเอเชียครั้งนี้ ได้เลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรก หลังจากนี้ในวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2540 จะเดินทางต่อไปยังพม่า ทั้งนี้ จุดประสงค์สำคัญในการมาเยือน เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้นำในภูมิภาคเอเชีย เพื่อนำไปประมวลและอาจนำเสนอต่อสภาคองเกรสในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯและเอเชียด้วย และยังเป็นโอกาสของการครบรอบ 25 ปีของการก่อตั้งของมูลนิธิด้วย
ในระหว่างการสนทนา คณะผู้บริหารมูลนิธิฯ ได้สอบถามและแสดงความสนใจต่อสถานการณ์ในภูมิภาค โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศจีน บทบาทของประเทศจีนในอนาคต ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจึนอาจจะเป็นประเทศมหาอำนาจทางทหารต่อไปในภูมิภาคนี้ บทบาทของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชีย พัฒนาการในประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น ลาว กัมพูชา และพม่า รวมถึงความสำเร็จในการเดินทางไปเยือนลาวและกัมพูชาของนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 20-22 มิถุนายน 2540 ด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านว่า พัฒนาการในประเทศลาวทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจดำเนินไปด้วยดี มีความสงบเรียบร้อย ขณะที่สถานการณ์ในกัมพูชา มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากความสามารถในการปรองดองระหว่างนายกรัฐมนตรีร่วมทั้งสองของกัมพูชา แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่สงบเกิดขึ้นในเขตทางตอนเหนือของกัมพูชา และในโอกาสที่ได้เดินทางไปเยือนกัมพูชานั้น ก็ได้รับทราบด้วยว่านายพอล พต ผู้นำเขมรแดงได้ถูกจับกุมตัวไว้แล้ว โดยนายกประเทศพม่า นั้น นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงเจตนารมณ์ของอาเซียนในการดำเนินนโยบายอย่างสร้างสรรค์ หรือ Constructive Engagement ต่อไป พร้อมกับขอให้ฝ่ายสหรัฐฯและประเทศตะวันตกมีความอดทนและให้โอกาสแก่ประเทศพม่า ในการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกปัจจุบัน พร้อมกับได้ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงใดๆ จำเป็นต้องใช้เวลาและต้องเข้าใจสถานการณ์ภายในประเทศนั้นๆด้วย และกล่าวเชื่อมั่นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในพม่าในทางที่ดีขึ้น โดยเมื่อเร็วๆนี้ จากการเดินทางไปเยือนพม่า ยังได้มีโอกาสสอบถามผู้นำพม่าถึงเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความเห็นในเรื่องสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียว่า มีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อยในภูมิภาคเอเชีย โดยเห็นว่าอย่างน้อยที่สุด ในระยะเวลา 5-10 ปี จึนไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ที่มีต่อเอเชีย เนื่องจากประเทศต่างๆ ไม่ต้องการความขัดแย้งรวมทั้งประเทศจีน ก็ยังต้องการเวลาในการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ และเห็นว่าปัญหาในเรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์ ระหว่างจีนและไต้หวัน หรือหมู่เกาะริวกิว ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น จะสามารถดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อย ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีแสดงความคิดเห็นว่า สหรัฐฯจะยังคงเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดสำหรับไทย และประเทศในเอเชียต่อไป ทั้งนี้การคงอยู่ของกองกำลังทหารของสหรัฐฯ ยังคงมีความสำคัญต่อภูมิภาค ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาดุลอำนาจในภูมิภาคนี้ ( balance of power ) แต่สหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องปรับรูปแบบและยุทธวิธี
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวสรุปถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้ชะลอตัวลง เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้เติบโตในอัตราที่สูงมากถึง ร้อยละ 8-9 และได้เกิดระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่าฟองสบู่ (bubble economy) ดังนั้น จึงจำเป็นต้องลดการเติบโตลง โดยมีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันจะเติดโตในอัตราร้อยละ 5.6-5.7 และการส่งออกจะอยู่ในระดับที่ร้อยละ 7 ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้พยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายลง และส่งเสริมให้มีการออม (saving) มากยิ่งขึ้น รวมถึงการลดการนำเข้าให้น้อยลงด้วย เพื่อช่วยลดภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดให้น้อยลง ในการนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงแผนการต่างๆที่จะช่วยส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่นำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศมากที่สุดภาคหนึ่ง โดยเฉพาะในปี 2541-2542 รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยว ภายใต้โครงการชื่อว่า "Amazing Thailand" --จบ