นรม. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

ข่าวทั่วไป Tuesday November 25, 2014 14:33 —สำนักโฆษก

ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ “ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนในระยะ 7 ปี” พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย ให้มีขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

วันนี้ (25 พ.ย.57) เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 5/2557 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒ โดยมีนางหิรัญญา สุจินัย รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีสาระสำคัญของการประชุมฯ สรุปได้ดังนี้

ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ “ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนในระยะ 7 ปี” (พ.ศ. 2558 – 2564) โดยได้กำหนดวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ใหม่ ได้แก่ ส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณค่าทั้งในประเทศและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ก้าวพ้นการเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง และช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับนโยบายและหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ จะให้ความสำคัญกับประเภทกิจการที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อภาคอุตสาหกรรมและต่อประเทศเป็นหลัก เช่น กิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง กิจการเชิงสร้างสรรค์ กิจการหรือบริการเพื่อรองรับการพัฒนา Digital Economy กิจการที่พัฒนาจากทรัพยากรในประเทศ ดังนั้น การส่งเสริมการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ จะยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ตามเขตที่ตั้ง เหลือเฉพาะพื้นที่ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำใน 20 จังหวัดเท่านั้น และการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มจากสิทธิพื้นฐานตามประเภทอุตสาหกรรม

ส่วนประเภทกิจการที่เคยอยู่ในบัญชีรายชื่อที่จะยกเลิกให้ส่งเสริม ที่ประชุมเห็นว่า บางประเภทกิจการยังมีความสำคัญต่อห่วงโซ่การผลิต และมีศักยภาพที่จะส่งเสริมให้เข้มแข็งมากขึ้นได้ จึงมิได้ยกเลิกให้ส่งเสริม แต่ได้ปรับเงื่อนไขในการให้ส่งเสริม เพื่อให้กิจการเหล่านั้นลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อยกระดับการผลิตหรือการออกแบบ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น

ทั้งนี้ กิจการที่จะได้รับส่งเสริม จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเอ เป็นกิจการที่มีความสำคัญสูงต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและมีความจำเป็นต้องให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และให้สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ ขณะที่กลุ่มบี เป็นกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมสนับสนุนที่มีการใช้เทคโนโลยีไม่สูงนัก แต่ยังมีความสำคัญต่อห่วงโซ่มูลค่า โดยจะไม่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่จะอำนวยความสะดวกผ่านสิทธิประโยชน์ด้านเครื่องจักร วัตถุดิบ และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่มิใช่ภาษี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้สำหรับนโยบายใหม่นี้ สำหรับโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ มาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีเพื่อเพิ่มศักยภาพและความเข้มแข็งให้สามารถก้าวสู่ระดับสากลมากยิ่งขึ้น โดยจะเลือกเฉพาะ 38 ประเภทกิจการจากยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในระยะ 7 ปี มาเป็นกิจการที่จะให้ส่งเสริมภายใต้มาตรการเอสเอ็มอี ซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นอีก 2 ปีจากเกณฑ์ปกติ เพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย และเพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนของกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งที่ประชุมจึงกำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึง 31 ธันวาคม 2560

ในตอนท้ายของการประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยโครงการที่ลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 5 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตาก จังหวัดตราด จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสงขลา และจังหวัดมุกดาหาร หากเป็นกิจการที่ได้รับการส่งเสริมภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีก 3 ปีจากเกณฑ์ปกติอีกด้วย

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

พัณณ์วรินทร์ อินโท่โล่ รายงาน

ดวงใจ กล่อมจิตต์ ตรวจ

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ